รอยเตอร์ – เพนตากอนแถลงเมื่อวานนี้(4 ก.ย)ว่า ทางกระทรวงได้จัดแจงโยกงบจาก 127 โครงการรวมไปถึงโรงเรียนและศูนย์ดูแลเด็กเล็กสำหรับครอบครัวของเจ้าหน้าที่กำลังพลกองทัพร่วม 3.6 พันล้านดอลลาร์เพื่อไปสร้างกำแพงกั้นพรมแดนติดเม็กซิโกให้กับประธานาธิบดีสหรัฐฯ
รอยเตอร์รายงานเมื่อวานนี้(4 ก.ย)ว่า โรงเรียนหลายโรงสำหรับบุตรหลานของบุคลากรกองทัพสหรัฐฯที่ประจำอยู่ตั้งแต่ในรัฐเคนตักกีไปจนถึงเยอรมันและญี่ปุ่นล้วนแล้วแต่ได้รับผลกระทบทั้งสิ้น
ศูนย์ดูแลเด็กเล็กภายในฐานทัพอากาศร่วมแอนดรูว์ส (Joint Base Andrews) รัฐแมรีแลนด์ ซึ่งเป็นบ้านของเครื่องบินประจำตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ แอร์ฟอร์ซวัน จะถูกโยกงบของตัวเองไปเพื่อสร้างกำแพงให้กับผู้นำสหรัฐฯเช่นกัน อ้างอิงจากแถลงการณ์ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯวันพุธ(4)
จากการที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศภาวะฉุกเฉินแห่งชาติเพื่อที่ตัวประธานาธิบดีจะสามารถแทรกซึมดึงงบประมาณจากโครงการก่อสร้างของเพนตากอนไปใช้ได้ ซึ่งเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ทางกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯได้ส่งรายชื่อโครงการจำนวนมากที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบไปให้กับสภาคองเกรสให้พิจารณา
เจ้าหน้าที่เพนตากอนกล่าวในรายงานสรุปว่า ทางกระทรวงได้รับ “คำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย” จากทรัมป์ให้จัดการโยกงบประมาณของกระทรวงเอาไปใช้
เจ้าหน้าที่หญิงยังกล่าวต่อว่า ทางกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับรัฐสภาสหรัฐฯและพันธมิตรจำนวนมากในความพยายามที่จะหางบใหม่เพื่อทดแทนในส่วนที่ถูกดึงออกไป ที่พบว่ามีจำนวนสูงถึง 3.6 พันล้านดอลลาร์จากทั้งหมดรวม 127 โครงการ
อย่างไรก็ตามทางเจ้าหน้าที่เพนตากอนกล่าวเตือนว่า ยังไม่มีการรับปากว่าจะสามารถหาเงินทดแทนกลับคืนได้
ซึ่งในวันอังคาร(3) เพนตากอนแจงว่างบก้อนแรกจำนวน 1.8 พันล้านดอลลาร์จะมาจากโครงการนอกสหรัฐฯ และตามมาด้วยงบจากโครงการในประเทศ
รอยเตอร์ชี้ว่า รายชื่อโครงการที่ได้รับผลกระทบรวมไปถึง โครงการสร้างถนน ปรับปรุงร้านค้า สร้างอาคารที่เก็บเครื่องมือ และโกดังเก็บวัตถุอันตราย
นอกจากนี้ยังพบว่าโปรเกจต์มูลค่าโดยประมาณราว 30 ล้านดอลลาร์สำหรับการก่อสร้างอาคารเก็บเครื่องมือภายในฐานทัพฟอร์ต ฮัวชูกา(Fort Huachuca) ทางใต้ของรัฐแอริโซนาจะถูกดึงไปเป็นงบสร้างกำแพงกั้นพรมแดนสหรัฐฯเช่นกัน
ในรายงานชี้ว่า ประธานสภาคองเกรส แนนซี เพโลซี ได้กล่าวกับเพื่อนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯสายพรรคเดโมแครตทางโทรศัพท์ถึงการโยกงบทางการทหารครั้งมโหฬารนี้ว่า เป็นการบั่นทอนเสถียรภาพของสหรัฐฯ คุณภาพชีวิตของคนอเมริกัน และขวัญกำลังใจของกำลังพล และที่สำคัญที่สุดทำให้ประเทศมีความปลอดภัยน้อยลง อ้างอิงจากผู้ช่วยของประธานสภาสหรัฐฯ