เอเอฟพี - ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ในวันอังคาร (30 ก.ค.) เรียกร้องธนาคารกลางอเมริกา (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างมีนัยสำคัญ ไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่ธนาคารกลางแห่งนี้มีกำหนดเปิดประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินเป็นเวลา 2 วัน
“ผมอยากเห็นการปรับลดครั้งใหญ่” ทรัมป์บอกกับพวกผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาว ในความเคลื่อนไหวกดดันเหล่าคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ หนล่าสุด หลังจากก่อนหน้านี้ได้พยายามกดดันมาอย่างต่อเนื่อง “ผมรู้สึกผิดหวังเฟดเป็นอย่างยิ่ง”
ตลาดคาดหมายอย่างท่วมท้นว่ามติของที่ประชุมเฟดในวันพุธ (31 ก.ค.) จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ซึ่งจะเป็นการปรับลดดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบทศวรรษ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวจากผลกระทบของสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการค้าและการลงทุนภาคธุรกิจซบเซา
นอกจากนี้แล้ว หากเป็นไปตามที่คาดจริง มันก็จะเป็นปรับเปลี่ยนแนวทางของเฟด ซึ่งปรับขึ้นดอกเบี้ย 4 ครั้งในปี 2018 โดยหนล่าสุดเกิดขึ้นในเดือนธันวาคม ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ร้อนแรงของสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่า ทรัมป์ ต้องการให้มีการปรับลดดอกเบี้ยระดับ 0.50% หรือมากกว่านั้น ซึ่งการหั่นดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าว ปกติแล้วมักถูกใช้ก็ต่อเมื่อเศรษฐกิจกำลังประสบภาวะชะลอตัวรุนแรง
ด้วยในปัจจุบันการขยายตัวทางเศรษฐกิจเข้าสู่ปีที่ 11 แล้ว ถือเป็นสถิติยาวนานที่สุดเท่าที่เคยมีมา, การจ้างงานเติบโตอย่างมั่นคง, ตัวเลขคนว่างงานอยู่ในระดับต่ำและราคาสินทรัพย์ต่างๆ พุ่งสูง ดังนั้น พวกนักเศรษฐศาสตร์จึงมีความคิดเห็นแตกต่างกันว่าชาติเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้มีความจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจหรือไม่
กระนั้นกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ รายงานในวันอังคาร (30 ก.ค.) ว่าตัวเลขเงินเฟ้อยังคงเซื่องซึม ถือเป็นการยืนยันว่ามีความเป็นไปได้น้อยที่แรงกดดันเงินเฟ้อจะปรับตัวสูงขึ้น
นักเศรษฐศาสตร์บางส่วนมองว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเมื่อเดือนธันวาคม เป็นความผิดพลาด
เจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด ซึ่งถูกทรัมป์โจมตีหลายต่อหลายครั้ง ส่งสัญญาณว่ามีความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางแห่งนี้จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย สืบเนื่องจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ในนั้นรวมถึงสงครามการค้ากับจีนและยุโรปของทรัมป์ ซึ่งเป็นต้นตอให้การลงทุนภาคธุรกิจลดต่ำลงอย่างมาก