รอยเตอร์ - กระทรวงมหาดไทยสหรัฐฯ เตรียมเปิดให้เช่าสัมปทานขุดเจาะน้ำมันเป็นครั้งแรกบริเวณที่ราบชายฝั่งของเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าอาร์กติก (Arctic National Wildlife Refuge - ANWR) ในรัฐอะแลสกา ซึ่งคาดว่ามีปริมาณน้ำมันดิบสำรองอยู่อย่างมหาศาล ท่ามกลางเสียงค้านจากบรรดานักอนุรักษ์ที่เกรงจะมีผลกระทบต่อระบบนิเวศอันเปราะบาง
โจ บาลาช ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยสหรัฐฯ ฝ่ายจัดการทรัพยากรที่ดินและแร่ธาตุ ยืนยันผ่านเวทีเสวนาภาคอุตสาหกรรมน้ำมันที่เมืองแองเคอเรจวานนี้ (30 พ.ค.) ว่า “การให้เช่าสัมปทานจะมีขึ้นภายในปี 2019”
การตัดสินใจของรัฐบาลสหรัฐฯ ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในการต่อสู้ที่มีมานานหลายทศวรรษระหว่างองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมกับบริษัทพลังงานเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรน้ำมันบริเวณชายฝั่งทะเลโบฟอร์ตของเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าอาร์กติก ซึ่งเป็นบ้านของกวางแคริบู, หมีขั้วโลก และสัตว์ป่าหายากอีกหลายชนิด
พื้นที่แถบนี้เคยถูกห้ามสำรวจขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ กระทั่งสภาคองเกรสได้ผ่านกฎหมายปฏิรูปภาษีเมื่อปลายปี 2017 ซึ่งครอบคลุมถึงแผนอนุมัติสัมปทานขุดเจาะน้ำมันในเขตอนุรักษ์แห่งนี้ด้วย
กฎหมายภาษีฉบับใหม่กำหนดให้กระทรวงมหาดไทยสหรัฐฯ ปล่อยเช่าสัมปทานน้ำมันในพื้นที่อย่างน้อย 400,000 เอเคอร์บริเวณชายฝั่งของ ANWR ซึ่งถือเป็นเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าที่มีขนาดกว้างใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ภายในระยะเวลา 4 ปี
บาลาช ระบุว่า สำนักงานจัดการที่ดินของกระทรวงได้ออกร่างคำแถลงด้านสิ่งแวดล้อมเมื่อปีที่แล้ว และเตรียมเผยแพร่รายงานฉบับสมบูรณ์ในราวๆ เดือน ส.ค. ปีนี้ ก่อนจะมีประกาศให้เช่าสัมปทานตามมา
อย่างไรก็ตาม นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมออกมาวิจารณ์การศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่กระทำอย่างรวบรัดเกินเหตุ
“ถ้ารัฐบาลยึดกรอบเวลาตามนี้ ก็จะเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายสิ่งแวดล้อมหลายฉบับเลยทีเดียว” แอดัม โคลตัน ผู้บริหารองค์กรไม่แสวงผลกำไร Alaska Wilderness League ให้สัมภาษณ์
“การปล่อยเช่าสัมปทานน้ำมันที่นี่ถูกเร่งรัดยิ่งกว่าพื้นที่อื่นๆ ในแถบอเมริกันอาร์กติก และอาจจะเร็วยิ่งกว่าทุกพื้นที่ในสหรัฐฯ ด้วยซ้ำ เพื่อให้เป็นไปตามกรอบเวลาทางการเมือง”
เมื่อเดือน เม.ย. สำนักงานประมงและสัตว์ป่าซึ่งเป็นอีกหนึ่งหน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทยก็ได้ออกมาวิจารณ์รายงานทบทวนด้านสิ่งแวดล้อมว่ายังไม่ได้พิจารณาอย่างรอบคอบในกรณีที่น้ำมันเกิดรั่วไหล สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง รวมถึงผลกระทบต่อประชากรหมีขั้วโลกที่อาศัยอยู่ในบริเวณดังกล่าว