เอเอฟพี - รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่านชี้ “คำขู่ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” ของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ไม่มีทางทำให้เตหะรานพบ “จุดจบ” ได้ ขณะที่ผู้นำอเมริกาแบะท่าลดความกังวลเกี่ยวกับภัยคุกคามจากอิหร่านวานนี้ (20 พ.ค.) โดยระบุว่าพร้อมเจรจาด้วยหากเตหะรานเป็นฝ่ายเดินเข้าหาก่อน
“ชนชาติอิหร่านดำรงคงอยู่มาเป็นพันๆ ปี ในขณะที่พวกผู้รุกรานล้มหายตายจากไปหมด การก่อการร้ายทางเศรษฐกิจและคำขู่ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จะไม่มีทางทำให้อิหร่านพบจุดจบได้” โมฮัมหมัด จาวัด ซารีฟ รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน ทวีตข้อความ
“จงอย่าได้ข่มขู่ชาวอิหร่าน หัดให้เกียรติกันเสียบ้างถึงจะเวิร์ค!”
ซารีฟ ยังวิจารณ์ ทรัมป์ ว่าปล่อยให้ทีมงานตัวเอง “ละทิ้งธรรมเนียมการทูต” และ “ส่งเสริมอาชญากรรมสงครามด้วยการขายอาวุธล็อตใหญ่ให้กับพวกฆาตกรที่ชอบกดขี่”
คำตอบโต้จากรัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่านมีขึ้นหลังจากที่ ทรัมป์ ได้พูดขู่เมื่อวันอาทิตย์ (19) ว่าสาธารณรัฐอิสลามแห่งนี้จะ “ถูกทำลาย” หากกล้าคุกคามผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกา
“ถ้าอิหร่านคิดจะสู้กับเรา นั่นจะเป็นจุดจบของพวกเขา จงอย่าได้ข่มขู่สหรัฐอเมริกาอีก” ทรัมป์ ทวีตข้อความ
ถ้อยแถลงดังกล่าวทำให้หลายฝ่ายเกิดความหวั่นวิตกว่ารัฐบาลของเขาคิดที่จะทำสงครามกับอิหร่าน กระทั่ง ทรัมป์ ต้องออกมาให้สัมภาษณ์ด้วยถ้อยคำที่นุ่มนวลขึ้นในวันจันทร์ (20)
“เรายังไม่เคยพูดว่ามีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นแล้ว หรือกำลังจะเกิดขึ้น” ทรัมป์ ให้สัมภาษณ์สื่อที่ทำเนียบขาวกรณีที่อิหร่านอาจโจมตีผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ในตะวันออกกลาง “เราไม่เคยยืนยันว่าพวกเขาจะทำ”
ทรัมป์ ยังย้ำคำขู่ว่าอิหร่านจะต้องเผชิญ “การตอบโต้ด้วยกำลังอย่างรุนแรง” หากคิดโจมตีสหรัฐอเมริกา แต่ถึงกระนั้นก็ยังเปิดโอกาสสำหรับการพูดคุย
“ถ้าพวกเขาติดต่อมา เราก็ยินดีเจรจาด้วยแน่นอน ทั้งหมดขึ้นอยู่กับพวกเขา ผมอยากให้พวกเขาติดต่อมาเมื่อไหร่ก็ตามที่พร้อม”
ความสัมพันธ์ระหว่างทั้ง 2 ประเทศเสื่อมทรามลงอย่างหนัก หลังจาก ทรัมป์ นำสหรัฐฯ ถอนตัวออกจากแผนปฏิบัติการเบ็ดเสร็จร่วม (Joint Comprehensive Plan of Action) ที่สหรัฐฯ, อิหร่าน และอีก 5 มหาอำนาจได้ร่วมลงนามไว้เมื่อปี 2015 โดยข้อตกลงฉบับนี้กำหนดให้อิหร่านต้องลดการเสริมสมรรถนะยูเรเนียมเพื่อแลกกับการผ่อนคลายคว่ำบาตร
ทรัมป์ ยังสั่งรื้อฟื้นบทลงโทษทางเศรษฐกิจต่อเตหะรานอีกครั้ง และพยายามปิดกั้นการขายน้ำมันดิบของอิหร่านให้ลดลงจนเป็นศูนย์
ความตึงเครียดยิ่งเพิ่มทวีขึ้นเมื่อสหรัฐฯ ส่งกองเรือบรรทุกเครื่องบินโจมตี, เครื่องบินทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์ B-52 และหมู่ขีปนาวุธแพริออตเข้าไปยังตะวันออกกลาง เพื่อรับมือสิ่งที่วอชิงตันอ้างว่าเป็นภัยคุกคามจากอิหร่าน
เจ้าหน้าที่อิหร่านประณามมาตรการคว่ำบาตรฝ่ายเดียวของสหรัฐฯ ว่าเป็น “การก่อการร้ายทางเศรษฐกิจ” ที่กระทบต่อการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น
สื่อสหรัฐฯ รายงานว่า ผู้ที่กระตือรือร้นอยากจะให้ ทรัมป์ ทำสงครามกับอิหร่านมากที่สุดก็คือ จอห์น โบลตัน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงสายเหยี่ยวของทำเนียบขาว ขณะที่ผู้ช่วยคนอื่นๆ พยายามดึงรั้งประธานาธิบดีเอาไว้
รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่านระบุว่า ทรัมป์ ถูกยั่วยุโดย “ทีมตัวบี” (B-Team) ซึ่งหมายถึง โบลตัน, นายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู ขออิสราเอล และเจ้าชายมกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งล้วนแต่มีนโยบายแข็งกร้าวต่ออิหร่านทั้งสิ้น
อิหร่านขู่จะทยอยถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์ปี 2015 หากหุ้นส่วนอีก 5 ชาติที่เหลือซึ่งได้แก่อังกฤษ จีน ฝรั่งเศส เยอรมนี และรัสเซีย ไม่พยายามช่วยอิหร่านหลบหลีกมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ