เอเจนซีส์ – ชาวเมืองผู้ดีกว่าล้านที่ต่อต้านการแยกตัวจากยุโรป เดินขบวนทั่วลอนดอนเมื่อวันเสาร์ (23 มี.ค.) เรียกร้องรัฐบาลจัดการลงประชามติใหม่ ขณะที่สื่อท้องถิ่นหลายสำนักรายงานตรงกันว่า รัฐมนตรี 11 คนเตรียมเผชิญหน้าเมย์ในวันจันทร์ (25 มี.ค.) เพื่อบีบให้ลาออก
หลังจากถกเถียงกันอย่างดุเดือดและยอกย้อนมาถึง 3 ปี แต่ถึงวันนี้ยังคงไม่มีความแน่นอนว่า เบร็กซิตหรือการที่อังกฤษถอนตัวจากสหภาพยุโรป (อียู) จะดำเนินการอย่างไร เมื่อใด หรือแม้กระทั่งจะเกิดขึ้นหรือไม่ ขณะที่นายกรัฐมนตรี เทเรซา เมย์ กำลังดิ้นรนสุดกำลังเพื่อหาทางออกจากวิกฤตการเมืองร้ายแรงที่สุดในหนึ่งชั่วอายุคนครั้งนี้
ในวันเสาร์ ประชาชนกว่า 1 ล้านคนเดินขบวนในกรุงลอนดอนโดยเริ่มต้นจากประตูชัยมาร์เบิล อาร์ชตอนเที่ยง ผ่านพิคาดิลลี เซอร์คัส, ทราฟัลการ์ สแควร์, สำนักงานนายกรัฐมนตรีบนถนนดาวนิ่งสตรีท และจบลงที่หน้าอาคารรัฐสภา เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลจัดการลงประชามติใหม่เรื่องเบร็กซิต
ทั้งนี้ หากมีผู้ร่วมชุมนุมถึงกว่า 1 ล้านคนตามที่ผู้จัดระบุ จะถือเป็นการประท้วงครั้งใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ในลอนดอน หลังการชุมนุมคัดค้านสงครามอิรักในเดือนกุมภาพันธ์ 2003 ซึ่งผู้จัดบอกว่า มีผู้เข้าร่วมเกือบ 2 ล้านคน
นักการเมืองหลายคน ซึ่งรวมทั้งสมาชิกพรรคอนุรักษ์นิยมที่เป็นพรรครัฐบาล และพรรคแรงงานที่เป็นฝ่ายค้าน ผลัดเปลี่ยนขึ้นเวทีปราศรัยต่อฝูงชน
ฟีบี้ พูล วัย 18 ปี เป็นหนึ่งในผู้ชุมนุม เธอบอกว่า ตอนที่ทำประชามติเบร็กซิตปี 2016 เธออายุไม่ถึงเกณฑ์ที่จะไปโหวต และเหตุผลที่ร่วมประท้วงครั้งนี้เพราะรู้สึกว่า ถูกขโมยอนาคต เนื่องจากคนรุ่นเธอต้องอยู่กับผลกระทบจากหายนะของเบร็กซิต เช่น งานที่จะหายากขึ้นเพราะบริษัทใหญ่หลายแห่งทยอยถอนตัวจากอังกฤษ
รอยเตอร์รายงานว่า รถโค้ช 200 คันจากทั่วอังกฤษถูกจองเพื่อพาคนไปร่วมชุมนุมในลอนดอน ขณะเดียวกัน มีผู้ลงชื่อสนับสนุนคำร้องขอยกเลิกเบร็กซิตถึง 4.39 ล้านคนภายในเวลาเพียง 3 วันหลังจากที่เมย์ประกาศว่า อยู่ข้างประชาชนเรื่องเบร็กซิต และเรียกร้องให้รัฐสภาสนับสนุนข้อตกลงของตน
แต่ดูเหมือนผู้ชุมนุมไม่คิดแบบนั้น ป้ายอันหนึ่งมีข้อความว่า “เทเรซา คุณไม่ได้พูดแทนพวกเรา”
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2016 อังกฤษจัดให้มีการทำประชามติซึ่งผลปรากฏว่า ผู้มีสิทธิ์ออกเสียง 17.4 ล้านคน หรือ 52% สนับสนุนเบร็กซิต ส่วนพวกที่ต้องการคงอยู่กับอียูมีจำนวน 16.1 ล้านคน หรือ 48%
นับจากนั้น ฝ่ายต่อต้านเบร็กซิตพยายามหาทางให้มีการทำประชามติรอบใหม่ และผลสำรวจความคิดเห็นบางสำนักพบว่า มีผู้เปลี่ยนใจมาสนับสนุนการคงอยู่กับอียูเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
เมย์ยืนยันมาตลอดว่า การทำประชามติใหม่จะทำให้ความขัดแย้งรุนแรงขึ้นและบ่อนทำลายการสนับสนุนระบอบประชาธิปไตย ส่วนผู้สนับสนุนเบร็กซิตชี้ว่า การกระทำดังกล่าวจะนำไปสู่วิกฤตรัฐธรรมนูญ
ผู้ที่ต้องการคงอยู่กับอียูโจมตีว่า เบร็กซิตทำให้เศรษฐกิจทรุดและการค้าหยุดชะงัก รวมถึงยกเลิกสวัสดิการสังคมหลายอย่าง ซึ่งรวมถึงการมีสิทธิ์อาศัยและทำงานในอีก 27 ชาติสมาชิก ส่วนกลุ่มโปรเบร็กซิตยอมรับว่า การถอนตัวจะทำให้เกิดความไร้เสถียรภาพช่วงสั้นๆ แต่ระยะยาวอังกฤษจะมีอิสระจากการทดลองที่ถูกกำหนดไว้แล้วในการรวมกลุ่มที่ควบคุมโดยเยอรมนี และล้าหลังมหาอำนาจอื่นๆ
หลังจากได้รับอนุมัติจากบรัสเซลส์ให้เลื่อนกำหนดการถอนตัวออกไปช่วงสั้นๆ จากกำหนดเดิมคือวันที่ 29 ที่จะถึง ในสัปดาห์นี้รัฐสภาอังกฤษอาจลงมติรอบที่ 3 สำหรับข้อตกลงเบร็กซิตที่ถูกคว่ำมาแล้ว 2 ครั้ง อย่างไรก็ดี เมย์ระบุว่า จะไม่เรียกประชุมสภาหากมีสัญญาณว่า อาจได้เสียงสนับสนุนไม่พอ
ล่าสุดหนังสือพิมพ์ซันเดย์ ไทมส์รายงานว่า ได้พูดคุยกับรัฐมนตรีอาวุโส 11 คน ซึ่งเห็นพ้องว่า เมย์ควรเปิดทางให้คนอื่นขึ้นมาจัดการวิกฤตครั้งนี้แทน โดยเตรียมเผชิญหน้ากับเมย์ในการประชุมคณะรัฐมนตรีวันจันทร์ (25 มี.ค.) ซึ่งหากเมย์ไม่ยอมลาออกโดยดี บรรดารัฐมนตรีเหล่านี้ขู่จะลาออกเอง
ซันเดย์ ไทมส์ ยังระบุว่า เดวิด ลิดดิงตัน รองนายกรัฐมนตรีโดยพฤตินัยและเป็นฝ่ายสนับสนุนอียู เป็นหนึ่งในตัวเก็งที่จะรับตำแหน่งแทนเมย์ชั่วคราว นอกจากนั้นยังมีชื่อเจเรมี ฮันต์ รัฐมนตรีต่างประเทศติดโผมาด้วย
รัฐมนตรีคนหนึ่งวิจารณ์ว่า เมย์ตอนนี้เอาแน่เอานอนไม่ได้ ซ้ำวิจารญาณยุ่งเหยิง และสำทับว่า ผู้นำหญิงคนนี้จะพ้นจากตำแหน่งภายใน 10 วัน
หนังสือพิมพ์ เดอะ เมล ฉบับวันอาทิตย์ (24 มี.ค.) ระบุว่า เมย์อาจถูกปลดภายในไม่กี่วันนี้ และไมเคิล โกฟ รัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมที่สนับสนุนเบร็กซิต อาจได้เป็นนายกรัฐมนตรีเฉพาะกาล
ขณะที่ซันเดย์ เทเลกราฟรายงานว่า นิกกี้ มอร์แกน อดีตรัฐมนตรีศึกษาธิการที่สนับสนุนการคงอยู่กับอียู เป็นแคนดิเดตที่เป็นที่ชื่นชอบของสมาชิกสภากลุ่มโปรเบร็กซิต
สำนักนายกรัฐมนตรีปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรายงานนี้ อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านั้นแหล่งข่าวคนหนึ่งในดาวนิ่งสตรีทเผยว่า ข่าวที่บอกว่า ทีมงานของเมย์กำลังหารือเรื่องที่เจ้าตัวจะลาออกนั้นไม่เป็นความจริง