รอยเตอร์ - ประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงในไต้หวัน แสดงมติตำหนิติเตียนพรรครัฐบาลชุดปัจจุบันที่เป็นพวกปรารถนาแยกเกาะแห่งนี้ออกไปเป็นประเทศเอกราช ด้วยการเทคะแนนให้แก่ฝ่ายค้านซึ่งเป็นมีแนวทางเป็นมิตรกับจีนแผ่นดินใหญ่ ในการเลือกตั้งท้องถิ่นช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยที่หนึ่งในบุคคลสำคัญของฝ่ายนี้ออกมาประกาศว่าเขากำลังจะติดต่อสร้างสัมพันธ์ฉันมิตรกับปักกิ่งให้มากยิ่งขึ้นอีก
พรรคเดโมเครติก โปรเกรสสีฟ ปาร์ตี้ (Democratic Progressive Party หรือ DPP) ที่กำลังเป็นผู้ปกครองไต้หวันอยู่ในปัจจุบัน ประสบความปราชัยครั้งใหญ่ในการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นทั่วเกาะซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันเสาร์ (24 พ.ย.) ด้วยการพ่ายแพ้ในการแข่งขันชิงตำแหน่งนายกเทศมนตรี 2 พื้นที่ที่ทรงความสำคัญมาก ขณะที่พรรคก๊กมิ่นตั๋ง (Kuomintang) ซึ่งเป็นฝ่ายค้าน สามารถช่วงชิงหรือยังคงรักษาการมีอำนาจควบคุมเมืองใหญ่ๆ และเทศมณฑลต่างๆ รวม 15 แห่ง เหลือให้พรรค DPP เพียงแค่ 6 แห่ง
ผลเลือกตั้งเช่นนี้ถือว่าน่าผิดหวังมากสำหรับฝ่ายรัฐบาล เนื่องจากเหลือเวลาเพียง 1 ปีเศษๆ เท่านั้นก็จะถึงกำหนดการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งใหม่แล้ว และประธานาธิบดีไช่ อิงเหวิน ของไต้หวัน ผู้ซึ่งมีความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดกับปักกิ่งมาโดยตลอดนับแต่ที่เธอชนะเลือกตั้งในปี 2016 ก็ได้ออกมาแสดงความรับผิดชอบในวันเสาร์ (24) สำหรับความพ่ายแพ้ของพรรคของเธอ อีกทั้งประกาศลาออกจากตำแหน่งประธานของ DPP
ทางด้านผู้สมัครของก๊กมิ่นตั๋งซึ่งชนะได้รับเลือกเป็นนายกเทศมนตรีของเมืองเกาสง เมืองท่าทางภาคใต้ที่ถือเป็นฐานที่มั่นของ DPP มาแต่เดิม ได้เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเพื่อหาทางเพิ่มพูนการติดต่อกับจีน ด้วยการบอกสื่อมวลชนท้องถิ่นในคืนวันเสาร์ว่า เขาจะจัดตั้งคณะทำงานว่าด้วยความสัมพันธ์กับจีนขึ้นมา และจะหาทางทลายกำแพงขวางกั้นความสัมพันธ์ดังกล่าว
“เราไม่ได้มีกำแพงใดๆ ล้อมรอบหัวใจของพวกเรา” เป็นคำพูดของ หัน กว๋ออี๋ว์ ผู้ซึ่งก่อนหน้านี้เคยกล่าวพาดพิงถึงกระแสเรียกร้องให้ไต้หวันเป็นเอกราชว่า “มีความน่ากลัวยิ่งกว่า” เชื้อซิฟิลิส
พรรคก๊กมิ่นตั๋งได้จัดส่งคณะผู้แทนไปยังจีนมาแล้วหลายครั้ง ตั้งแต่ที่ ไช่ ขึ้นครองอำนาจ และได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี ขณะที่จีนปฏิเสธไม่ติดต่อโดยตรงใดๆ กับคณะบริหารของไช่
ทางด้านจีนซึ่งถือว่าไต้หวันเป็นมณฑลที่ดึงดันเอาแต่ใจของตน ออกมาแถลงว่าการเลือกตั้งครั้งล่าสุดนี้แสดงให้เห็นว่า ประชาชนของเกาะแห่งนี้ต้องการมีความสัมพันธ์อย่างสันติกับปักกิ่ง
“ผลการเลือกตั้งสะท้อนให้เห็นถึงเจตนารมณ์อันแรงกล้าของสาธารณชนไต้หวัน ในเรื่องความหวังที่จะสืบต่อแบ่งปันแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ต่างๆ ของพัฒนาการอย่างสันติในความสัมพันธ์ข้ามช่องแคบไต้หวัน รวมทั้งความปรารถนาอย่างแข็งแรงของพวกเขาที่วาดวางจะปรับปรุงเศรษฐกิจและความอยู่ดีกินดีของประชาชนของเกาะแห่งนี้” นี่เป็นเนื้อหาในคำแถลงซึ่งออกมาสำนักงานกิจการไต้หวัน ที่เป็นหน่วยงานรับผิดชอบการติดต่อกับเกาะแห่งนี้ของปักกิ่ง และรายงานเผยแพร่โดยสื่อมวลชนของทางการจีน
ในการเลือกตั้งท้องถิ่นครั้งนี้ ยังได้ขอให้ผู้ออกเสียงลงประชามติในหลายๆ ประเด็น โดยปรากฏว่าเรื่องที่เกาะแห่งนี้จะเข้าร่วมกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนปี 2020 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยใช้ชื่อว่า “ไต้หวัน” แทนที่จะเป็น “ไชนีส ไทเป” ดังเช่นที่ผ่านๆ มานั้น ผู้ลงคะแนนส่วนใหญ่ไม่ต้องการเปลี่ยน
สำนักงานกิจการไต้หวันของจีนกล่าวว่า เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า ความพยายามที่จะหยิบยกผลประโยชน์ของนักกีฬาชาวไต้หวันขึ้นมาเป็นประเด็นปัญหาเช่นนี้ เป็นสิ่งที่ขัดกับเจตนารมณ์ของประชาชน และ “ความพยายามของพวกที่ต้องการให้ ‘ไต้หวันเป็นเอกราช’ มีแต่จะต้องล้มเหลวลง”
ส่วนแอคเคาต์ “วีแชท” ของ ฉบับตีพิมพ์เผยแพร่ต่างแดนของ เหรินหมินรึเป้า (People's Daily) หนังสือพิมพ์ที่เป็นปากเสียงทางการของพรรคคอมมิวนิสต์จีน โพสต์ข้อความว่า หัน (ว่าที่นายกเทศมนตรีนครเกาสง) ตระหนักถึงความเป็นจริงที่สำคัญมากประการหนึ่ง นั่นคือ “ไต้หวันจะดีได้ ก็ต่อเมื่อความสัมพันธ์ข้ามช่องแคบไต้หวันอยู่ในสภาพที่ดี”
สำหรับ เลขาธิการพรรค DPP หง เย่าผู เมื่อถูกถามในวันเสาร์ว่า ปัจจัยเรื่องจีนได้แสดงบทบาทส่งอิทธิพลต่อการเลือกตั้งครั้งนี้หรือไม่ เขาก็กล่าวย้ำว่ามีปัญหาในเรื่อง “ข่าวปลอม”
“ผมคิดว่าครั้งนี้เป็นบทเรียนอันลึกซึ้ง ในแง่ของข่าวปลอมทำให้ประชาชนจำนวนมากเกิดความสับสนในการวินิจฉัย หรือไม่ได้รับข้อมูลข่าวสารที่ชัดเจน” เขาบอกกับพวกผู้สื่อข่าว
“นี่เป็นปัญหาระดับโลก ไม่ได้เป็นแค่ปัญหาเฉพาะของไต้หวันเท่านั้น”
ไต้หวันไม่ยอมรับการแต่งงานระหว่างคนเพศเดียวกัน
ผู้ออกเสียงชาวไต้หวัน ยังลงประชามติในอีกประเด็นหนึ่งเมื่อวันเสาร์ ได้แก่การยอมรับให้การแต่งงานระหว่างคนเพศเดียวกันเป็นเรื่องถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งผลออกมาว่าเสียงส่วนใหญ่ปฏิเสธ และถือเป็นความเพลี่ยงพล้ำอีกเรื่องหนึ่งสำหรับไช่ ผู้ซึ่งระหว่างรณรงค์หาเสียงเมื่อปี 2016 นั้น ได้ให้สัญญาจะผลักดันเรื่องความเสมอภาคเท่าเทียมในการสมรส อย่างไรก็ดี เท่าที่ผ่านมาเธอแทบไม่ได้ทำอะไรคืบหน้าไปเลยในประเด็นนี้
ไต้หวันกลายเป็นดินแดนแห่งแรกในเอเชียที่มีความคืบหน้าไปไกลที่สุดในเรื่องการยอมรับการแต่งงานของบุคคลเพศเดียวกัน เมื่อศาลรัฐธรรมนูญไต้หวันตัดสินในเดือนพฤษภาคมปีที่แล้วว่า คู่ครองที่เป็นเพศเดียวกันมีสิทธิที่จะแต่งงานกันตามกฎหมาย และกำหนดว่าจะต้องมีการออกกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องนี้ภายในระยะเวลา 2 ปี
ทว่าผู้ออกเสียงประชามติส่วนใหญ่ในคราวนี้ กลับสนับสนุนคำนิยามจำกัดความที่ระบุว่า การแต่งงานต้องเป็นการแต่งงานระหว่างชายกับหญิง
“นี่คือชัยชนะสำหรับผู้คนทั้งหลายที่สนับสนุนค่านิยมครอบครัวและการศึกษาสำหรับคนรุ่นต่อไป” กลุ่มพันธมิตรเพื่อความสุขของคนรุ่นต่อไปของเรา (Coalition for the Happiness of Our Next Generation) ซึ่งเป็นกลุ่มที่คัดค้านการรับรองการแต่งงานระหว่างคนเพศเดียวกัน ระบุในคำแถลงภายหลังทราบผลประชามติ
ขณะที่ โคลัส โยตางะ โฆษกคณะรัฐมนตรีไต้หวันกล่าวกับรอยเตอร์ว่า จะมีการร่างกฎหมายพิเศษเพื่อรับรองความเสมอภาคเท่าเทียมกันในการแต่งงาน และรัฐบาลยังคงให้ความสนับสนุนประเด็นปัญหานี้อยู่
ทางด้านนักเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิ ไม่พอใจที่จะมีการออกกฎหมายพิเศษสำหรับการแต่งงานของคนเพศเดียวกัน โดยบอกว่าเท่ากับเป็นการปฏิบัติอย่างมีการแบ่งแยกกีดกัน รวมทั้งยังเรียกการจัดให้ผู้ออกเสียงลงประชามติเรื่องนี้ในคราวนี้ว่า เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและขัดรัฐธรรมนูญ
พวกผู้สนับสนุนความเสมอภาคเท่าเทียมในการสมรสจำนวนหลายสิบคน ได้ชุมนุมกันที่กรุงไทเปตอนช่วงเช้าวันอาทิตย์ (18) โดยที่มีบางคนร้องไห้เมื่อผลการลงประชามติออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน ขณะที่ ฉี เฉียเว่ย นักเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิชาวเกย์ บอกว่ายังคงมองในแง่บวก เพราะพวกที่คัดค้านเรื่องนี้มีจำนวนน้อยลงเรื่อยๆ