รอยเตอร์ - สหรัฐฯจะควบรวมสถานกงสุลใหญ่สหรัฐฯซึ่งดูแลงานด้านปาเลสไตน์ เข้ากับสถานทูตใหม่ในเยรูซาเลม จากการเปิดเผยของ ไมค์ พอมเพโอ รัฐมนตรีต่างประเทศในวันพฤหัสบดี (18 ต.ค.) ความเคลื่อนไหวที่เรียกเสียงประณามจากปาเลสไตน์อย่างทันควัน
“การตัดสินใจนี้ได้รับแรงผลักดันจากความพยายามปรับปรุงประสิทธิภาพและประสิทธิผลแก่ปฏิบัติการต่างๆ ของเรา” พอมเพโอระบุในถ้อยแถลง “มันไม่ใช่การส่งสัญญาณการเปลี่ยนแปลงทางนโยบายของสหรัฐฯต่อเยรูซาเลม, เวสต์แบงค์ หรือฉนวนกาซา”
ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กระพือความขุ่นเคืองจากโลกอาหรับและความกังวลจากประชาคมนานาชาติ ด้วยการรับรองเยรูซาเลมในฐานะเมืองหลวงของอิสราเอลเมื่อเดือนธันวาคมปีก่อน และย้ายสถานทูตสหรัฐฯจากเทลอาวีฟ ไปยังเยรูซาเลม ในเดือนพฤษภาคม
ทั้งนี้ สถานกงสุลใหญ่ในเยรูซาเลม มีหน้าที่หลักในงานด้านปาเลสไตน์ ซึ่งต้องการให้เยรูซาเลมตะวันออกเป็นเมืองหลวงในอนาคตของพวกเขา
พอมเพโอ บอกว่า สหรัฐฯจะจัดตั้งแผนกใหม่ “กิจการปาเลสไตน์” ภายในสถานทูตประจำเยรูซาเลม เพื่อสานต่อการโครงการต่างๆ ในเวสต์แบงก์และฉนวนกาซา รวมถึงยื่นมือให้ความช่วยเหลือชาวปาเลสไตน์ในเยรูซาเลม
อย่างไรก็ตาม ซาเอ็บ อีเรกัต ประณามความเคลื่อนไหวกำจัดสถานกงสุลว่าเป็นหลักฐานล่าสุดที่แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังร่วมมือกับอิสราเอล ในการสร้าง “อิสราเอลที่ใหญ่กว่า (Greater Israel)” แทนที่จะมุ่งหาทางออกแบบ 2 รัฐ (two-state solution)
นอกจากนี้ เขายังบอกด้วยว่าการตัดสินใจของสหรัฐฯ คือ การตบรางวัลแก่พวกอาชญากรและพวกล่วงละเมิดอิสราเอล “รัฐบาลทรัมป์เป็นส่วนหน่งของปัญหา ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหา”
พวกผู้นำปาเลสไตน์ระงับความสัมพันธ์กับรัฐบาลสหรัฐฯ หลังการย้ายสถานทูต ดังนั้น นับตั้งแต่นั้นจึงไม่มีการติดต่ออย่างเป็นทางการกับสถานกงสุลในเยรูซาเลม
สถานะของเยรูซาเลมคือหนึ่งในข้อพิพาทยุ่งยากที่สุดระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ โดยปาเลสไตน์กล่าวหาทรัมป์ หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความไร้เสถียรภาพด้วยการล้มเลิกนโยบายที่สหรัฐฯยึดถือมานานหลายทศวรรษ
อิสราเอลมองว่าทั้งเมืองเยรูซาเลม ในนั้นรวมถึงภาคตะวันออกที่พวกเขาเข้ายึดครองระหว่างสงครามตะวันออกกลางปี 1967 และผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของดินแดน คือเมืองหลวงชั่วนิรันดร์และไม่อาจแบ่งแยกได้ของพวกเขา แม้ไม่ได้รับการรับรองจากนานาชาติก็ตาม