เอเจนซีส์/MGRออนไลน์ – เมื่อวานนี้(11 ก.ย)ครอบครัวผู้เสียชีวิตและประชาชนชาวอเมริกันร่วมพิธีรำลึกเหตุการณ์ก่อการร้าย 11 กันยาฯครบรอบ 17 ปีที่เดอะกราวด์ซีโร หรือ เมโมเรียลพลาซ่า เมืองนิวยอร์ก ซิตี ซึ่งมีผู้เสียชีวิตเกือบ 3,000 คน ส่วนผู้นำสหรัฐฯพร้อมสุภาพสตรีหมายเลข 1 ยกย่องความกล้าหาญของผู้โดยสารเที่ยวบิน 93 ที่รัฐเพนซิลเวเนีย ด้านรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ และเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดจากอังกฤษรำลึกถึงเหตุการณ์ที่เพนตากอน และ กิตตินันท์ ยิ่งเจริญ อัครราชทูตฝ่ายพาณิชย์สถานทูตไทยประจำกรุงมอสโกในปัจจุบันเป็นหนึ่งในผู้รอดชีวิตที่เล่าประสบการณ์ระทึกระหว่างอยู่บนตึกในช่วงเกิดเหตุ
หนังสือพิมพ์วอลสตรีทเจอร์นัล สื่อธุรกิจรายงานเมื่อวานนี้(11 ก.ย)ว่า ผู้นำสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ พร้อมสุภาพสตรีหมายเลข 1 เมลาเนีย ทรัมป์ รำลึกเหตุการณ์ 11 กันยายน 2001 จากรัฐเพนซิลเวเนีย ยังจุดตกเครื่องบินโดยสารสายการบินยูไนเต็ดแอร์ไลน์เที่ยวบิน 93 ถูกจี้โดยกลุ่มก่อการร้ายเมื่อ 17 ปีก่อนหน้าแต่ถูกผู้โดยสารบนเครื่องขัดขวาง จนทำให้คนทั้งหมด 44 คนบนเครื่องรวมถึงคนร้ายเสียชีวิตทั้งหมด
ซึ่งในวันอังคาร(11)ทรัมป์ประกาศเตือนจากเมืองแชงกสวิล (Shanksville)ด้วยน้ำเสียงกร้าวว่า สหรัฐฯจะปกป้องตนเองจากผู้กดขี่ และได้รำลึกความทรงจำถึงบรรยากาศที่บรรดาผู้โดยสารต่างตกลงร่วมกันในการต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายหลังจากรับรู้ผ่านทางโทรศัพท์ถึงเหตุการณ์โจมตีตึกแฝดเวิลด์เทรดเซนเตอร์ และที่เพนตากอนในเช้าวันนั้น
“เราขอเชิดชูความเสียสละของคนเหล่านั้นที่ไม่แม้แต่จะหวาดหวั่นต่อแมหน้าปิศาจและทำทุกอย่างเพื่อให้ชีวิตชาวอเมริกันปลอดภัย” ทรัมป์กล่าวจากบริเวณอนุสรณ์สถานเที่ยวบิน 93และเสริมว่า “สถานที่แห่งนี้เป็นอนุสาวรีย์แสดงถึงความเป็นผู้ไม่กลัวของชาวอเมริกัน ซึ่งอนุสรณ์สถานแห่งนี้ถือเป็นการส่งข้อความไปยังทั่วโลกว่า อเมริกาจะไม่ยอมก้มห้วให้กับทรราชทั้งหลาย”
อย่างไรก็ตามเป็นที่โจษจันไปทั่วทางโซเชียลมีเดียถึงภาพความไม่เหมาะสมของทรัมป์ในการชูกำปั้น 2 ข้างซึ่งมีความหมายในเชิงสัญลักษณ์ประกาศชัยชนะก่อนที่จะร่วมพิธีรำลึก โดยหนึ่งในผู้วิจารณ์ได้แสดงความเห็นอย่างไม่พอใจว่า
“นี่เป็นการแสดงการทักทายจาก @realDonaldTrumpไปยังผู้สนับสนุนของเขา ในขณะที่เดินทางมาถึงรัฐเพนซิลเวเนียเพื่อร่วมพิธีรำลึกอนุสรณ์สถานเที่ยวบิน 93 #11 กันยาฯ ถึงทุกคนที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักเมื่อ 17 ปีก่อน พวกเราได้ส่งใจไปถึงพวกท่าน! และโปรดรับรู้ว่าประเทศนี้อยู่กับพวกคุณถึงแม้ว่าประธานาธิบดีของเราจะไม่ก็ตาม” รายงานจากบิสซิเนสอินไซเดอร์
ในขณะเดียวกันรองประธานาธิบดี ไมค์ เพนซ์ พร้อมกับรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ จิม แมททิส และเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด(Prince Edward) พระราชโอรสองค์เล็กในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งอังกฤษ อ้างอิงการรายงานจาก CNBC สื่อสหรัฐฯ ร่วมพิธีรำลึกที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดในกรุงวอชิงตัน ดีซีที่ถูกก่อการร้ายโดยผู้ก่อการร้าย 5 คนได้ทำการจี้เครื่องบินโดยสารเที่ยวบิน 77 จากท่าอากาศยานนานาชาติวอชิงตัน ดัลเลส (Washington Dulles International Airport) ซึ่งกำลังจะบินมุ่งหน้าไปเมืองลอสแอนเจลิส และเปลี่ยนเส้นทางการบินไปที่ตึกเพนตากอนแทน
ทั้งนี้หอบังคับการบินประจำท่าอากาศยานนานาชาติโรนัลด์ เรแกน(Ronald Reagan National Airport)พูดกับเจ้าหน้าที่ในศูนย์ปฎิบัติการตำรวจลับวอชิงตันว่า “เครื่องบินกำลังมุ่งหน้ามาหาคุณ และไม่ยอมพูดกับทางเรา” และไม่ถึง 5 นาทีหลังจากนั้นเครื่องบินลำดังกล่าวได้พุ่งเข้าชนด้านข้างของที่ทำการเพนตากอนสังหารคนไป 184 ชีวิต
โดยเพนซ์ประกาศต่อหน้าฝูงชนในวันอังคาร(11)ว่า “นี่เป็นช่วงเวลาที่มีเกียรติที่สุดของเพนตากอน” ก่อนที่จะกล่าวย้ำถึงนโยบายของทรัมป์ในการปรับปรุงกองทัพสหรัฐฯ และชี้ให้เห็นถึงการอนุมัติงบประมาณกลาโหมล่าสุด
เอบีวีนิวส์7ชี้ว่า หลังจากเหตุก่อการร้ายตึกเวิลด์เทรด มีผู้ยื่นขอรับเงินค่าชดเชยจำนวน 38,500 คน และได้มีการอนุมัติเงินเยียวยาไปแล้วกว่า 3.9 พันล้านดอลลาร์
ซึ่งสำหรับพิธีรำลึกที่จุดเดอะกราวด์ซีโร หรือเมโมเรียลพลาซา ในเมืองนิวยอร์ก ซิตี อันเป็นจุดที่ตั้งเดิมของตึกแฝดเวิลด์เทรด พบว่าบรรดาครอบครัวของเหยื่อได้มารวมตัวเพื่อร่วมรำลึก มีการอ่านรายนามพร้อมกับข้อความรำลึก หนังสือพิมพ์ดิอิเวนนิงสแตนดาร์ดของอังกฤษชี้ว่า หนึ่งในนั้นคือ มาร์กี มิลเลอร์ (Margie Miller) ที่ได้เข้าร่วมงาน โดยเธอสูญเสียสามีไปในเหตุการณ์นี้
มิลเลอร์กล่าวด้วยเสียงเศร้าว่า “สำหรับดิฉัน เขายังคงอยู่ที่นี่ โดยส่วนตัวแล้วสถานที่แห่งนี้เป็นเสมือนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับดิฉัน”
ในพิธีรำลึกที่ถูกจัดขึ้นที่เมืองนิวยอร์ก ซิตีนี้มีอดีตนายเทศมนตรีนิวยอร์กช่วง 11 กันยาฯ และปัจจุบันทนายความส่วนตัวผู้นำสหรัฐฯ ในคดีรัสเซียยุ่งเลือกตั้งสหรัฐฯ รูดี จูลิอานี เอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำสหประชาชาติ นิกกี เฮลีย์ และผู้ว่าการรัฐนิวเจอร์ซีย์ คริส คริสตี ร่วมอยู่ด้วย
และในช่วงกลางคืนพบว่ามีการเปิดลำแสงไฟสีน้ำเงินคู่พวยพุ่งสู่ท้องฟ้าที่จำลองให้เห็นว่าตึกแฝดเวิลด์เทรดเพื่อไว้อาลัยเหมือนเช่นทุกปี
ทั้งนี้ในส่วนของคนไทยที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์โจมตีตึกแฝดเวิลด์เทรดนั้น VOA ภาคภาษาไทยได้เคยลงการสัมภาษณ์เมื่อปี 2016
โดยคนไทยรายนี้อยู่บนตึกเวิลด์เทรดขณะเกิดเหตุ "กิตตินันท์ ยิ่งเจริญ" ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่ง อัครราชทูต (ฝ่ายการพาณิชย์) และข้าราชการสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมอสโก ได้เล่าประสบการณ์น่าระทึกให้กับสื่อสหรัฐฯภาคภาษาไทยฟังความว่า
เขาเดินทางไปถึงสำนักงานบนชั้น 37 ของตึกเวิลด์เทรดในเวลาราว 08.30 น.ซึ่งในเวลานั้นเขาดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศประจำอยู่ในเมืองนิวยอร์ก ซิตี้
และชั่วขณะอึดใจพบว่ามีแรงสั่นสะเทือนผิดปกติ
“พอใกล้ถึงโต๊ะทำงาน ผมมีความรู้สึกว่าพื้นที่เราเหยียบอยู่ มันโยก คือแก้วกาแฟกระเพื่อม แต่ไม่มีเสียงอะไรเลย ก็เลยเข้าใจว่าต้องเป็นแผ่นดินไหวแน่ๆ เพราะไม่ได้ยินเสียงระเบิด ระหว่างที่กำลังสับสน มองออกไปนอกหน้าต่างก็มองเห็นพวกซากปูนต่างๆร่วงลงมา ผ่านกระจกใสๆ ด้านนอก ก็เลยแน่ใจว่าต้องมีเหตุการณ์ไม่ปกติเกิดขึ้น”
และชี้ว่ามีคนจำนวนมากในอาคารไม่ทราบถึงการถูกก่อการร้าย ส่วนตัวของท่านอัครราชทูตกิตตินันท์นั้นชี้ว่า เขาหลบหนีออกมาทางบันไดหนีไฟ
“พอลงไปได้ไม่กี่ชั้น ก็มีเรื่องน่าตกใจเกิดขึ้น หลังจากมีคนตะโกนมาจากชั้นบนๆ ว่าขอให้คนเจ็บลงไปก่อน ทุกคนก็พยายามเบี่ยงตัวให้คนเจ็บลงไปก่อน แต่เพียงแค่หันไปมองเท่านั้น ปรากฏว่าคนเจ็บโดนไฟไหม้ตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่ทราบว่าเป็นผู้หญิงผู้ชาย คึอไหม้จนผิวหนังร่อนออกมาเป็นแผ่นๆ ดำๆ แต่คงด้วยอารามตกใจ เขาคนนั้นต้องลงไปเอง ไม่มีใครอุ้มได้ เพราะบันไดค่อนข้างแคบและคนแน่นไปหมด”
และกล่าวต่อว่า “ผมลงมาถึงข้างล่างจะมีเจ้าหน้าที่ไล่ต้อน ไม่ให้หันไปมองข้างหลัง ก็พยายามต้อนออกมาให้เร็วที่สุด พยายามเดินเรียงหนึ่งกันออกไป พอผมลงมาถึงชั้น 1 ผมมองดูรอบอาคารมันเหมือนกับสภาพหลังสงคราม คล้ายๆ กับว่ามันโดนระเบิด โดนไฟเผา อะไรแบบนั้น มันเลยรู้สึกแปลกๆ มันเป็นวิวที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน ว่าชั้น 1 เป็นแบบนี้ เป็นภาพที่ไม่คุ้นตา ตามพื้นก็เริ่มมองเห็นว่ามีหยดเลือดอยู่ตามพื้น”
ในขณะที่คนไทยอีกรายซึ่งได้เล่าประสบการณ์วัน 11 กันยาฯจากการนำเสนอของสถานทูตสหรัฐฯประจำกรุงเทพฯเมื่อปี 2011 ซึ่งทางสถานทูตชี้แจงว่า ในช่วงเวลาที่เผยแพร่เธอผู้นี้ทำหน้าที่ในตำแหน่งพนักงานฝ่ายศูนย์ข้อมูล (Information Resource Center)ประจำสถานทูตสหรัฐฯประจำประเทศไทย
ซึ่งทางสถานทูตสหรัฐฯได้ให้ชื่อเพียงว่า “คุณพลอย” โดยในเวลาช่วงเกิดเหตุเธอทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยประจำเมืองนิวยอร์ก ซิตี และทำงานอยู่ในชั้นที่ 37 ของตึกนอร์ททาวเวอร์ซึ่งเป็นชั้นเดียวกันกับที่หน่วยงานรัฐหลายๆแห่งได้เช่าพื้นที่บนตึกเวิลด์เทรดในเวลานั้น
โดยเธอเล่าว่าเธอกำลังอยู่ในรถไฟใต้ดินขณะเกิดเหตุ “ตอนที่เครื่องบินลำแรกชนตึก พลอยกำลังนั่งอยู่ในรถไฟใต้ดินค่ะ ที่ทำงานพลอยเริ่มทำงาน 09.30 น” และกล่าวต่อว่า “วันนั้นในรถไฟใต้ดินมีประกาศว่ามีไฟไหม้ที่สถานี Cortlandt เราก็นึกว่ามีไฟไหม้ตรงบันไดเลื่อนเพราะมันเคยเกิดมาก่อน ก็เลยออกจากสถานีตรงทางออกที่ห่างไปอีกช่วงตึกหนึ่ง ตอนนั้น เครื่องบินลำที่สองเพิ่งพุ่งชนตึก South Tower พอดี”
คุณพลอยเล่าความรู้สึกที่เห็นตรงหน้าว่า “เราทุกคนรู้สึกช็อก บางคนก็ร้องไห้ตอนที่เราเห็นคนกระโดดออกมาจากตึกทีละคนๆ จากชั้นที่อยู่สูงๆ บางคนจับมือโดดลงมาด้วยกัน น่ากลัวมาก หลังจากนั้นไม่กี่วัน ก็มีโปสเตอร์ประกาศหาคนหายติดอยู่ทั่วไปตามถนนและใกล้ๆ พลอยเคยเห็นหน้าบางคนที่เคยอยู่ในตึกเดียวกันมาก่อนด้วย บางคนก็เคยทักทายกันตอนเข้าออกจากตึก หรือขึ้นลิฟท์ด้วยกันบ่อยๆ เศร้ามาก”
และเมื่อทางสถานทูตสอบถามถึงถึงปฏิกริยาจากครอบครัวในเมืองไทยเมื่อทราบข่าวตึกเวิลด์เทรดถูกโจมตี คุณพลอยตอบกลับมาว่า
“ครอบครัว ญาติและเพื่อนๆ ที่เมืองไทยก็ตกใจมากและพยายามติดต่อค่ะ แต่สัญญาณโทรศัพท์ที่นิวยอร์กตอนนั้นใช้ไม่ได้ ที่บ้านก็คอยติดตามข่าวทางทีวีและเห็นประกาศจากสถานกงสุลไทยในนิวยอร์กว่าพลอยปลอดภัยดีก็สบายใจขึ้นค่ะ” รายงานจากเฟซบุ๊กสถานทูตสหรัฐฯประจำประเทศไทย
