รอยเตอร์ – โซลเผยคิมให้สัญญาปิดสถานที่ทดสอบนิวเคลียร์พร้อมเชิญต่างชาติมาพิสูจน์เดือนหน้า ขณะที่ทรัมป์ยืนกรานกดดันให้เปียงยางปลดอาวุธนิวเคลียร์โดยสิ้นเชิง ก่อนการพบกันระหว่าง "คิม-ทรัมป์" ที่คาดว่าจะมีขึ้นในอีก 3-4 สัปดาห์ข้างหน้า
ทำเนียบฟ้าของประธานาธิบดีเกาหลีใต้เปิดเผยในวันอาทิตย์ (29 เม.ย.) ว่าผู้นำเกาหลีเหนือ คิม จอง-อึน บอกกับประธานาธิบดี มุน แจอิน ของเกาหลีใต้ระหว่างการพบกันครั้งประวัติศาสตร์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (27 เม.ย.) ว่าจะเชิญผู้เชี่ยวชาญและผู้สื่อข่าวจากอเมริกาและเกาหลีใต้เพื่อให้นานาชาติได้เห็นการยุบสถานที่ทดสอบนิวเคลียร์อย่างโปร่งใส
ยุน ยอง-ชาน เลขานุการฝ่ายสื่อของมุน เปิดเผยว่า คิมบอกถ้าได้พูดคุยกับเกาหลีเหนือ อเมริกาจะตระหนักว่า เขาไม่ใช่คนที่จะยิงจรวดนิวเคลียร์ใส่เกาหลีใต้ มหาสมุทรแปซิฟิก หรืออเมริกา
“ถ้าได้พบกันบ่อยๆ และอเมริกากับเกาหลีเหนือสร้างความไว้วางใจต่อกัน รวมทั้งสัญญาว่าจะยุติสงครามและการรุกราน เราจะทำให้ชีวิตยากลำบากทำไม” ยุนอ้างอิงคำพูดของประมุขเปียงยาง โดยสำทับว่า เกาหลีเหนือยังมีอุโมงค์ทดสอบนิวเคลียร์อีก 2 แห่งที่มีขนาดใหญ่กว่าและยังใช้ได้ดีกว่าสถานที่ทดสอบที่ปุงกเย-รี ที่ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ยุบตัวและไม่สามารถใช้ได้แล้วหลังการทดสอบระเบิดหลายครั้ง
ยุนเสริมว่า คำสัญญาของผู้นำเกาหลีเหนือแสดงถึงความยินดีในการตอบสนองความพยายามในการตรวจสอบฝ่ายเดียวและจริงจัง อันเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการปลดอาวุธนิวเคลียร์
คิมยังรับปากยกเลิกเขตเวลาพิเศษที่เปียงยางกำหนดขึ้นในปี 2015 และเลื่อนเวลาเร็วขึ้น 30 นาทีเพื่อให้ตรงกับเวลาของเกาหลีใต้คือ 9 ชั่วโมงก่อนเวลามาตรฐานเมืองกรีนิช
นอกจากนั้น ผู้นำเกาหลีเหนือยังย้ำว่า จะไม่ใช้กำลังทหารกับเกาหลีใต้ แต่ชี้ถึงความจำเป็นในการกำหนดกลไกเพื่อป้องกันสถานการณ์ลุกลามโดยไม่ตั้งใจ
เจ้าหน้าที่เกาหลีใต้เปิดเผยว่า เมื่อคืนวันเสาร์ (28 เม.ย.) ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ หารือทางโทรศัพท์กับมุน และแสดงความยินดีที่สองผู้นำเกาหลียืนยันเป้าหมายในการปลดอาวุธนิวเคลียร์อย่างสมบูรณ์ระหว่างซัมมิตเมื่อวันศุกร์ มุนและทรัมป์ยังเห็นพ้องในการจัดประชุมสุดยอดโดยเร็วระหว่างอเมริกากับเกาหลีเหนือ และหารือกันถึงสถานที่จัดการประชุมที่เป็นไปได้ 2-3 แห่ง
ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่อาวุโสคนหนึ่งของอเมริกาแย้มว่า กำลังพิจารณาสิงคโปร์เป็นตัวเลือกหนึ่งของสถานที่พบปะครั้งประวัติศาสตร์ระหว่างทรัมป์กับคิม
ผู้นำสหรัฐฯ ทวิตข้อความว่า การประชุมกับคิมอาจมีขึ้นใน 3-4 สัปดาห์หน้า และยังกล่าวระหว่างการหาเสียงในวอชิงตันเมื่อวันเสาร์ว่า การประชุมดังกล่าวจะเป็นโอกาสสำคัญในการทำให้คาบสมุทรเกาหลีปลอดอาวุธนิวเคลียร์
ด้านทำเนียบขาวแถลงว่า ทรัมป์และมุนย้ำถึงอนาคตที่สันติสุขและมั่งคั่งของเกาหลีเหนือ ขึ้นอยู่กับการปลดอาวุธนิวเคลียร์อย่างสมบูรณ์ ตรวจสอบได้ และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงย้อนกลับได้
ทรัมป์ยังยืนยันกับนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ ของญี่ปุ่นว่า จะเรียกร้องให้เกาหลีเหนือสะสางกรณีการลักพาตัวพลเมืองญี่ปุ่น
ทั้งนี้ ข้อตกลงร่วมกันที่เฉพาะเจาะจงส่วนใหญ่ที่ระบุในคำแถลงอย่างเป็นทางการ ซึ่งลงนามโดยคิมและมุนนั้น มุ่งเน้นความสัมพันธ์ระหว่างสองเกาหลี แต่ไม่ได้ตอบคำถามว่า เปียงยางยินดียกเลิกคลังแสงนิวเคลียร์และขีปนาวุธหรือไม่
อีกด้านหนึ่ง เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา สำนักข่าวเคซีเอ็นเอของทางการเปียงยาง ได้เผยแพร่แถลงการณ์ร่วมพร้อมภาพถ่ายกว่า 60 ภาพจากการประชุมสุดยอด โดยยกย่องว่า เป็นจุดเปลี่ยนของคาบสมุทรเกาหลี และยังระบุถึงการหารือเกี่ยวกับการปลดอาวุธนิวเคลียร์แต่ไม่ได้ลงรายละเอียด
เคซีเอ็นเอรายงานว่า ระหว่างซัมมิต ทั้งสองฝ่ายเปิดใจแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับประเด็นที่เป็นข้อกังวลร่วมกัน ซึ่งรวมถึงการปรับปรุงความสัมพันธ์เกาหลีเหนือ-ใต้ การรับประกันสันติภาพบนคาบสมุทรเกาหลี การปลดอาวุธนิวเคลียร์ และการหารือจบลงด้วยอาหารค่ำท่ามกลางบรรยากาศที่เป็นมิตรฉันท์ญาติ
ผู้นำทั่วโลกต่างชื่นชมกับแถลงการณ์จากซัมมิตสองเกาหลี ซึ่งรวมถึงทรัมป์ที่บอกว่า เวลาเท่านั้นจะเป็นเครื่องพิสูจน์ อย่างไรก็ตาม เขาไม่คิดว่าคิมเสแสร้ง ก่อนย้ำว่า อเมริกาจะกดดันเกาหลีเหนือต่อไปเพื่อไม่ให้ผิดพลาดเหมือนกับคณะบริหารชุดก่อนๆ
ที่ซิดนีย์เมื่อวันเสาร์ นายกรัฐมนตรี มัลคอล์ม เทิร์นบุลล์ ยกย่องว่า จุดยืนที่แข็งกร้าวของทรัมป์มีส่วนทำให้ผู้นำสองเกาหลีได้พบกัน รวมทั้งดึงดูดการสนับสนุนจากทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจีน
ตรงข้ามกับ บาห์ราม กาเซมิ โฆษกกระทรวงต่างประเทศอิหร่าน ที่แสดงความยินดีกับซัมมิตโซล-เปียงยาง แต่สำทับว่า วอชิงตันไม่ใช่คู่เจรจาที่ “คู่ควร” กับเกาหลีเหนือ เนื่องจากขาดความน่าเชื่อถือและไม่ปฏิบัติตามข้อผูกพันของนานาชาติ
ที่ปักกิ่ง บทบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ไชน่า เดลี่ฉบับวันเสาร์ระบุว่า การปลดอาวุธนิวเคลียร์อาจทำให้การเป็นปรปักษ์ระหว่างสองเกาหลีสิ้นสุดลง และนำไปสู่ยุคใหม่แห่งการพัฒนาบนคาบสมุทรเกาหลี แต่ตั้งข้อสังเกตว่า แถลงการณ์เมื่อวันศุกร์ขาดแผนการเพื่อบรรลุเป้าหมายในการปลดอาวุธนิวเคลียร์ เนื่องจากเกาหลีใต้มีอำนาจจำกัดในการต่อรอง และข้อตกลงที่เฉพาะเจาะจงดังกล่าวจะต้องตกลงกันระหว่างอเมริกากับเกาหลีเหนือเท่านั้น