xs
xsm
sm
md
lg

Weekend Focus: “ทรัมป์” ขึ้นภาษีนำเข้าเหล็ก-อะลูมิเนียม เสี่ยงจุดชนวน “สงครามการค้า”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เปิดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนที่ห้องตะวันออกของทำเนียบขาว เมื่อวันที่ 6 มี.ค.
นับเป็นข่าวที่สร้างความวิตกกังวลไปทั่วโลกเมื่อประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ประกาศจะขึ้นภาษีศุลกากรเหล็กกล้าและอะลูมิเนียมนำเข้า ท่ามกลางเสียงคัดค้านอื้ออึงจากประเทศพันธมิตรและผู้ผลิตสินค้าในอเมริกาที่คาดว่าจะได้รับความเดือดร้อนไปตามๆ กัน ขณะที่หลายฝ่ายเตือนว่ามาตรการของ ทรัมป์ เสี่ยงกระตุ้นสงครามการค้า และทำให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย

ทรัมป์ ประกาศเมื่อวันที่ 1 มี.ค. ว่าจะเก็บภาษีนำเข้า 25% จากเหล็กกล้า และ 10% สำหรับอะลูมิเนียม โดยไม่เลือกว่าประเทศผู้ส่งออกนั้นเป็นมิตรหรือศัตรู พร้อมทวีตท้าทายว่า “สงครามการค้าเป็นเรื่องดี และสามารถเอาชนะได้ไม่ยาก” ซึ่งทำให้ประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ ไม่พอใจและออกมาขู่ตอบโต้กันเป็นแถว

ทรัมป์ บอกกับสื่อมวลชนว่าตนได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีเพื่อทำหน้าที่ปกป้องแรงงานและอุตสาหกรรมในอเมริกา ซึ่งถูกกัดเซาะโดยนโยบายการค้าที่ไม่เป็นธรรมมานานหลายปี

“เราถูกทุกๆ ชาติเอารัดเอาเปรียบ... ทุกๆ ชาติ... และเราจะยอมให้มันเกิดขึ้นต่อไปไม่ได้อีกแล้ว” ทรัมป์ กล่าว

อย่างไรก็ดี คำขู่ของ ทรัมป์ สร้างความกังวลแม้แต่กับแกนนำพรรครีพับลิกันเอง โดยเฉพาะ พอล ไรอัน ประธานสภาผู้แทนราษฎร และ ส.ส.จากรัฐวิสคอนซินซึ่งเป็นฐานการผลิตรถมอเตอร์ไซค์ ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน ที่ถูกยุโรปขู่จะรีดภาษีนำเข้าเพื่อตอบโต้ ทรัมป์

ไรอัน เรียกร้องให้ ทรัมป์ คิดหาแผนที่ “ชาญฉลาด” กว่านี้ และใช้บทลงโทษทางภาษีแบบจำกัดกลุ่มเป้าหมาย เพราะแม้จะมีบางประเทศ เช่น จีน ที่ละเมิดกฎเกณฑ์ด้วยการทุ่มตลาดและผลิตสินค้ามากเกินความต้องการ (overcapacity) แต่มาตรการกีดกันการค้าแบบเหมารวมเช่นนี้อาจนำมาซึ่ง “ผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์” อย่างเช่นสงครามการค้า

ทรัมป์ ออกมาปฏิเสธเสียงวิจารณ์และความกังวลเรื่องการเผชิญหน้าทางการค้า โดยระบุว่า “สงครามการค้าก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น... สงครามการค้าจะทำให้พวกเขาเป็นฝ่ายเจ็บ ไม่ใช่เรา”

สมาคมการค้าขนาดใหญ่ รวมถึงล็อบบี้ยิสต์ซึ่งเป็นตัวแทนบริษัทในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ยอมรับว่ามีความพยายามเจรจาหลังม่านเพื่อโน้มน้าวทำเนียบขาวและกระทรวงพาณิชย์ให้กำหนดข้อยกเว้นสำคัญๆ ในนโยบายภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ เตรียมประกาศใช้ เช่น ยกเว้นการขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมจากบางประเทศ หรือโลหะบางชนิดที่ไม่สามารถพบได้ในสหรัฐฯ เป็นต้น


สงครามการค้าเริ่มถูกพูดถึงมากขึ้น หลังจากประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ฌอง-โคลด จุงเกอร์ ออกมาให้สัมภาษณ์ต่อสถานีโทรทัศน์เยอรมันว่า “เราจะรีดภาษีศุลกากรกับรถจักรยานยนต์ ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน,เหล้าวิสกี้เบอร์เบิน และยีนส์ลีวายส์” ซึ่งหลังจากนั้นไม่นาน ทรัมป์ ก็ออกมาขู่จะขึ้นภาษีรถยนต์ยุโรปนำเข้า หากสหภาพยุโรป (อียู) กล้ารีดภาษีจากสินค้าที่เป็นสัญลักษณ์ของอเมริกา

นักลงทุนยิ่งหวั่นวิตกมากขึ้นเมื่อ แกรี โคห์น ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของทำเนียบขาว ตัดสินใจลาออกจากรัฐบาลเมื่อวันอังคาร (6) โดยดูเหมือนว่าอดีตผู้บริหารโกลด์แมนแซคส์วัย 57 ปีรายนี้จะหมดความอดทนในการทำงานร่วมกับ ปีเตอร์ นาวาร์โร ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายพาณิชย์และอุตสาหกรรมของทำเนียบขาว และ วิลเบอร์ รอสส์ เลขานุการฝ่ายพาณิชย์ ซึ่งสนับสนุนแนวทางกีดกันการค้า

บริจิตต์ ซีปรีส รัฐมนตรีเศรษฐกิจเยอรมนี แสดงความกังวลต่อข่าวการลาออกของ โคห์น ซึ่งเธอมองว่าเป็นไม่กี่คนในทำเนียบขาวที่คอยฉุดรั้ง ทรัมป์ ไม่ให้ดำเนินนโยบายแบบชาตินิยมเกินเหตุ พร้อมยืนยันว่าเบอร์ลินไม่ต้องการขัดแย้งเรื่องการค้ากับสหรัฐฯ แต่หาก ทรัมป์ จะขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจริงตามที่ขู่ อียูก็จำเป็นต้องมีมาตรการตอบสนองที่เหมาะสมกัน

ผู้นำสหรัฐฯ ยังพยายามนำการขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กกล้าและอะลูมิเนียมมาโยงกับการเจรจาแก้ไขข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (นาฟตา) กับเม็กซิโกและแคนาดา ซึ่งตลอด 6 เดือนที่ผ่านมาแทบจะไม่คืบหน้าไปไหน

แคนาดาถือเป็นซัพพลายเออร์เหล็กกล้าและอะลูมิเนียมรายใหญ่สุดของอเมริกา

มีรายงานจากหนังสือพิม์วอชิงตันโพสต์ว่า ทรัมป์ อาจตัดสินใจยกเว้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมให้แก่แคนาดาและเม็กซิโกเป็นเวลา 30 วันหากการเจรจานาฟตาคืบหน้า ซึ่งเรื่องนี้สอดคล้องกับที่ ซาราห์ แซนเดอร์ส โฆษกทำเนียบขาว แถลงต่อสื่อมวลชนเมื่อวันพุธ (7) ว่า ประธานาธิบดีอาจลงนามคำสั่งทางภาษีในช่วงสุดสัปดาห์ โดยมีการผ่อนผันให้แก่เม็กซิโก แคนาดา และอีกบางประเทศ เพื่อเห็นแก่ความมั่นคงของสหรัฐฯ เอง

ตลาดหุ้นทั่วโลกเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวในวันจันทร์ (5) หลังนักลงทุนเริ่มมองว่านี่อาจเป็นเพียงเทคนิคการเจรจาของวอชิงตันซึ่งสุดท้ายก็อาจจะทำไม่ได้ ขณะที่แหล่งข่าวทำเนียบขาวชี้ว่ามีโอกาสตลอดเวลาที่ ทรัมป์ อาจเปลี่ยนใจจากสิ่งที่ได้พูดไปแล้วเพื่อขานรับความกังวลของกลุ่มต่างๆ

ทรัมป์ มักจะแสดงท่าทีแข็งกร้าวในประเด็นการค้า แต่ก็ไม่ได้ทำอย่างที่ปากว่าเสมอไป กรณีที่เห็นได้ชัดคือการทวีตข้อความขู่ถอนตัวจากนาฟตา โดยอ้างว่าเป็นต้นเหตุทำให้ชาวอเมริกันตกงาน แต่หลังจากอยู่ในตำแหน่งมาครบปี สหรัฐฯ ก็ยังคงเป็นภาคีในกลุ่มความร่วมมือที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1994 นี้เหมือนเดิม

ทรัมป์ ยังอนุมัติมาตรการทางการค้าย่อยๆ อีกหลายอย่าง ซึ่งรวมถึงการขึ้นภาษีเหล็กกล้าและอะลูมิเนียม แต่ทั้งหมดนี้เมื่อเอามารวมกับภาษีที่เรียกเก็บจากเครื่องซักผ้าและแผงพลังงานแสงอาทิตย์นำเข้าก็ยังคิดเป็นเพียง 4.1% ของมูลค่าการนำเข้าทั้งหมดของอเมริกา และแค่ 0.6% หากวัดจากมูลค่าการค้าโลก ตามข้อมูลของ มอร์แกน สแตนลีย์ ซึ่งเป็นวาณิชธนกิจในสหรัฐฯ

โรเบอร์โต อาเซเวโด ผู้อำนวยการองค์การการค้าโลก (WTO) เตือนให้ ทรัมป์ หลีกเลี่ยงการ “ล้มโดมิโนตัวแรก” ซึ่งอาจจุดชนวนสงครามการค้า และทำให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยรุนแรง เช่นเดียวกับ คริสติน ลาการ์ด กรรมการผู้จัดการใหญ่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ออกมาเตือนในวันพุธ (7) ว่า สงครามการค้านั้น “ไม่มีใครเป็นฝ่ายชนะ” และจะเกิดผลเสียร้ายแรงหากประเทศคู่ค้าอย่างแคนาดาและสหภาพยุโรปตั้งกำแพงภาษีแก้แค้นอเมริกาบ้าง



กำลังโหลดความคิดเห็น