xs
xsm
sm
md
lg

‘การเยือนจีนอย่างเป็นรัฐพิธี’ของปธน.เกาหลีใต้ ลงเอยกลายเป็น‘ความหายนะทางการประชาสัมพันธ์’

เผยแพร่:   โดย: แอนดริว แซลมอน

<i>ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน เอื้อมมือไปทางประธานาธิบดีมุน แจอิน ของเกาหลีใต้ ในพิธีลงนามความตกลงระหว่างสองประเทศที่มหาศาลาประชาชน  ในกรุงปักกิ่ง เมื่อวันพฤหัสบดี (14 ธ.ค.) </i>
(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)

President Moon’s China state visit spirals into PR disaster
By Andrew Salmon
15/12/2017

การไปเยือนจีนอย่างเป็นรัฐพิธีของประธานาธิบดีมุน แจอิน แห่งเกาหลีใต้ในสัปดาห์นี้ ได้รับความคาดหวังต่ำอยู่แล้วตั้งแต่ก่อนเขาจะออกเดินทางเสียอีก ทว่าเที่ยวการเดินทางนี้ยังได้ผลลัพธ์เลวร้ายย่ำแย่กว่าที่คาดการณ์กัน จากเหตุการณ์ที่สื่อมวลชนโสมขาวระบุว่าเป็นการที่จีนแสดงความ “ไม่เคารพ” ผู้นำเกาหลีใต้ และกรณีที่ดูเหมือนเป็นการทำร้ายช่างภาพสื่อมวลชนโสมขาวโดยฝีมือพวกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยชาวจีน

กระทั่งตั้งแต่ก่อนที่ประธานาธิบดีมุน แจอิน ของเกาหลีใต้จะเดินทางไปเยือนประเทศจีนอย่างเป็นรัฐพิธี โดยที่ไฮไลต์สำคัญที่สุดคือการประชุมซัมมิตกับ สี จิ้นผิง ผู้นำของแดนมังกร ก็มีความคาดหวังกันค่อนข้างต่ำอยู่แล้ว และสิ่งที่ปรากฏออกมาจริงๆ ดูเหมือนจะย่ำแย่เลวร้ายยิ่งกว่าที่คาดหมายกันเสียอีก

จีนกับเกาหลีใต้ ซึ่งเคยเป็นศัตรูกันในช่วงสงครามเกาหลีปี 1950-53 กำลังเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 25 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันในปีนี้ ในช่วงระยะเวลาเสี้ยวศตวรรษดังกล่าวนี้ จีนได้ก้าวผงาดขึ้นมากลายเป็นชาติซึ่งเกาหลีใต้ไปลงทุนสูงที่สุดและส่งออกมากที่สุด

สภาวการณ์เช่นนี้เรียกร้องให้เหล่านักการทูตของโซลต้องแสดงฝีมือเดินไต่เส้นลวดคอยประคับประคองตัวอยู่ระหว่างจีนผู้เป็นหุ้นส่วนสำคัญทางเศรษฐกิจ และสหรัฐฯผู้เป็นพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ แถมยังเผชิญกับความสลับซับซ้อนเพิ่มขึ้นอีกจากข้อเท็จจริงที่ว่าโซลมีอารมณ์ร่วมกับปักกิ่งในการรู้สึกไม่เป็นมิตรต่อโตเกียวสืบเนื่องจากประเด็นปัญหาต่างๆ ที่ตกทอดมาทางประวัติศาสตร์

ในการเตรียมการตั้งแต่ก่อนที่มุนไปเยือนปักกิ่งในสัปดาห์นี้ ทั้งสองประเทศก็ได้ตกลงกันที่จะไม่มีการออกคำแถลงร่วมหรือจัดการแถลงข่าวร่วมภายหลังการประชุมซัมมิตระหว่างประธานาธิบดีของประเทศทั้งสอง ซึ่งนี่เป็นการส่งสัญญาเตือนภัยออกมาอย่างชัดเจน

ปักกิ่งนั้นยังคงแสดงอาการคุกรุ่นไม่พอใจต่อการนำเอาชุดจรวดป้องกันขีปนาวุธ “ทาด” (THAAD ย่อมาจาก Terminal High Altitude Area Defense ระบบป้องกันซึ่งมุ่งทำลายขีปนาวุธข้าศึกขณะเคลื่อนที่อยู่ในระยะเทอร์มินัลระดับสูง) ของสหรัฐฯเข้ามาติดตั้งประจำการในเกาหลีใต้ ก่อนหน้าการเดินทางเที่ยวนี้ของประธานาธิบดีโสมขาว แม้กระทั่งหนังสือพิมพ์ฮันเกียวเรห์ (Hankyoreh) ที่มีแนวทางเอียงซ้าย ยังออกบทบรรรณาธิการระบุว่า “จีนแสดงให้เห็นว่ามุ่งโฟกัสอย่างผิดที่ผิดทางไปยังประเด็นเรื่อง “ทาด” ก่อนหน้าจะมีการประชุมซัมมิตระหว่าง มุน กับ สี”

ดังนั้น อะไรๆ จึงดูเป็นอุปสรรคท้าทายไปหมดตั้งแต่เริ่มต้น ซึ่งจะต้องมีการเจรจาหารือกันเป็นอย่างมาก ยังดีที่ความคาดหวังก็อยู่ในระดับต่ำเช่นเดียวกัน แต่ถึงกระนั้นพวกเจ้าหน้าที่ฝ่ายเกาหลีใต้ยังคงต้องรู้สึกผิดหวังท้อแท้อย่างแน่นอนจากการที่ผลลัพธ์ต่างๆ ออกมาอย่างเลวร้ายถึงขนาดนี้

การเยือนคราวนี้ต้องบอบช้ำเสียหายจากสิ่งที่สื่อมวลชนฝ่ายเกาหลีใต้ระบุว่าเป็นการที่ฝ่ายจีนแสดงออกซึ่งความไม่เคารพต่อประธานาธิบดีของพวกเขา แล้วยังยิ่งบอบช้ำเสียหายมากขึ้นอีกจากเหตุการณ์ที่ดูเหมือนเป็นการที่พวกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยชาวจีนทำร้ายนักหนังสือพิมพ์ชาวโสมขาว

ประธานาธิบดีมุนนั้นได้รับการต้อนรับจากเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศจีนระดับรองรัฐมนตรีผู้หนึ่ง เมื่อตอนที่เขาลงจากเครื่องบินที่กรุงปักกิ่งในวันพุธ (13 ธ.ค.) แล้วยังไม่ได้เชิญให้เข้าร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับนายกรัฐมนตรีจีนตามธรรมเนียมที่จะต้องปฏิบัติกัน สื่อมวลชนเกาหลีใต้พากันเสนอข่าวคราวทั้ง 2 เรื่องนี้ว่าเป็นการแสดงความดูหมิ่นดูแคลน

ในความเป็นจริงแล้ว พวกเจ้าหน้าที่ระดับอาวุโสของจีนต่างกำลังไปเข้าร่วมพิธีรำลึกวาระครบรอบ 70 ปีเหตุการณ์สังหารหมู่ที่เมืองหนานจิง (Nanjing Massacre) ในวันที่มุนเดินทางไปถึงพอดี กระนั้นนี่ก็ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาเกี่ยวกับจังหวะเวลาของทริปเดินทางนี้อยู่ดี

สิ่งต่างๆ ยิ่งเลวร้ายลงไปอีกในวันพฤหัสบดี (14 ธ.ค.) เมื่อพวกช่างภาพสื่อมวลชนเกาหลีใต้ซึ่งติดตามมาในคณะประธานาธิบดีมุน ถูกเหล่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยชาวจีนทำร้ายร่างกาย ขณะที่พวกเขาพยายามติดตามประธานาธิบดีเข้าไปในงานแสดงสินค้างานหนึ่ง

ความวุ่นวายคราวนี้ถูกนำเสนอท่วมท้นอินเทอร์เน็ตของเกาหลีใต้ในทันที และปรากฏเป็นข่าวหน้าหนึ่งของสื่อมวลชนแดนโสมขาวกันถ้วนหน้าในวันศุกร์ (15 ธ.ค.)

ขณะที่ใครก็ตามที่เคยเข้าร่วมการประชุมแถลงข่าวของเกาหลีใต้จะทราบดีว่ากลุ่มช่างภาพสื่อมวลชนที่คอยเบียดเสียดแย่งชิงกันนั้น เป็นปัจจัยที่ทำให้เบี่ยงเบนความสนใจได้อยู่บ่อยๆ ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในปักกิ่งก็ยังดูสุดโต่งเกินเลยอยู่นั่นเอง การทำร้ายร่างกายโดยพวกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยชาวจีนที่เหวี่ยงหมัดเข้าใส่ช่างภาพสื่อมวลชนเกาหลีใต้ถูกจับภาพถูกถ่ายทอดเผยแพร่กันอย่างเกรียวกราว

มีรายงานว่าพวกเจ้าหน้าที่ทำเนียบประธานาธิบดีเกาหลีใต้และพวกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยชาวจีนเกิดการกลุ้มรุมผลักกันดันกันอยู่ข้างๆ และลงท้ายช่างภาพผู้หนึ่งถูกนำส่งโรงพยาบาล

เป็นเรื่องตลกร้ายที่หัวเราะกันไม่ค่อยออก เนื่องจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเหล่านี้ได้รับการว่าจ้างโดย โคทรา (KOTRA) หน่วยงานโปรโมตส่งเสริมการค้าของเกาหลีใต้เอง แต่มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่พวกนี้ทำงานภายใต้การกำกับดูแลของตำรวจฝ่ายจีน

ครั้นถึงคืนวันพฤหัสบดี (14 ต.ค.) การเจรจาหารือซัมมิตระหว่างมุน แจอิน กับ สี จิ้นผิง ได้ผลออกมาอย่างดูเหมือนต่ำกว่าที่คาดการณ์กันไว้เสียอีก โดยที่ผู้นำทั้งสองตกลงกันได้เกี่ยวกับหลักการ 4 ประการซึ่งจะนำมาใช้ในการรับมือกับเกาหลีเหนือ ได้แก่ ไม่ยินยอมให้เกิดสงครามขึ้นในคาบสมุทรเกาหลี, มุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวที่จะทำให้คาบสมุทรเกาหลีปลอดจากอาวุธนิวเคลียร์, มุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวที่จะทำความตกลงกันให้ได้โดยผ่านการเจรจาหารือกัน, และเห็นพ้องกันว่าสายสัมพันธ์ระหว่างสองเกาหลีที่ปรับปรุงกระเตื้องดีขึ้นจะส่งผลดีต่อความพยายามในการเดินหน้าไปสู่หนทางแก้ไขปัญหาอย่างสันติ

ทว่าในประเด็นปัญหาเกี่ยวกับระบบ ทาด สียังคงเน้นย้ำจุดยืนเดิมของจีนและบอกว่าเขาหวังว่าเกาหลีใต้ “จะยังเคารพในจุดยืนของตนและแก้ไขคลี่คลายประเด็นปัญหานี้อย่างถูกต้องเหมาะสม” กระทรวงการต่างประเทศเกาหลีใต้รายงานเอาไว้เช่นนี้

ขณะที่เจ้าหน้าที่ทำเนียบประธานาธิบดีโสมขาวผู้หนึ่ง ซึ่งพยายามที่จะวาดภาพให้เห็นว่าการประชุมซัมมิตคราวนี้มีผลออกมาในทางบวก ได้บอกกับสำนักข่าวยอนฮัปของเกาหลีใต้ว่า ในวันพฤหัสบดี (14 ธ.ค.) สีพูดถึงเรื่องทาด น้อยลงกว่าในตอนที่เขาพบปะหารือกับมุนทั้ง 2 ครั้งก่อนหน้านี้

อย่างไรก็ตาม สื่อมวลชนเกาหลีใต้พากันพูดถึงผลการเยือนจีนของมุนคราวนี้ด้วยถ้อยคำเจ็บแสบ จุงอังอิลโบ (Joongang Ilbo) หนังสือพิมพ์ใหญ่อันดับ 2 ของโสมขาว ออกบทบรรณาธิการวิจารณ์เรื่องที่จีนแค่มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ระดับล่างมารับประธานาธิบดีมุน รวมทั้งนายกรัฐมนตรีแดนมังกรไม่จัดงานเลี้ยงอาหารกลางวันต้อนรับ โดยกล่าวว่า “เราต้องไม่ยอมปล่อยให้เรื่องเช่นนี้ผ่านเลยไป ... รัฐบาลต้องแสดงความเอาจริงเอาจังต่อกรณีนี้ไม่ว่าวาระของประธานาธิบดีจะมุ่งไปในทางใดก็ตามที”

ทางด้านฝ่ายค้านก็ไม่พลาดที่จะกระโดดเข้ามาร่วมวงด้วย โดยเรียกการเยือนเที่ยวนี้ว่าเป็น “ความอัปยศ” “รัฐบาลที่ปล่อยให้พวกนักหนังสือพิมพ์ถูกไล่ทำร้ายเช่นนี้จะสามารถพิทักษ์คุ้มครองพลเมืองของตนได้ยังไง” อาห์น เชือลซู (Ahn Cheol-soo) ผู้นำของพรรคประชาชน (People’s Party) ตั้งคำถาม ทั้งนี้ตามรายงานของสำนักข่าวยอนฮัป “รัฐบาลจะต้องกล้าเผชิญความเป็นจริงในเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา ความเป็นจริงที่ว่าเกียรติศักดิ์ศรีของพลเมือง (เกาหลีใต้) นั้น ต้องมีอันฟกช้ำดำเขียวไปจากกรณีนี้”

แรกเริ่มเดิมทีปักกิ่งกับโซลเกิดการทะเลาะเบาะแว้งทางการทูตในรอบนี้กัน มีชนวนเหตุมาจากการที่โซลตัดสินใจให้นำเอาชุดระบบป้องกัน “ทาด” ของสหรัฐฯเข้ามาติดตั้งประจำการ โซลให้เหตุผลว่าระบบนี้สามารถที่จะใช้ป้องกันภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือได้อย่างไม่มีอย่างอื่นเทียบเคียงได้ ทว่าปักกิ่งยืนกรานว่าเรดาร์ของระบบทาดนั้นเปิดทางให้วอชิงตันสามารถสอดแนมระบบต่างๆ บนแผ่นดินจีน

มุนอยู่ในสภาพของคำพังเพยที่ว่า เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง แต่ต้องเอากระดูกมาแขวนคอ โดยแท้ เนื่องจากการติดตั้งประจำการระบบทาดเกิดขึ้นในยุคพัค กึน-ฮเย อดีตประธานาธิบดีแนวทางอนุรักษนิยม ผู้ซึ่งถูกกล่าวโทษฟ้องร้องและถูกถอดออกจากตำแหน่งในเดือนมีนาคมปีนี้ และเป็นการแผ้วถางทางให้มุนผู้มีแนวทางเสรีนิยม ประสบชัยชนะในการเลือกตั้งใหม่ซึ่งจัดขึ้นในเดือนพฤษภาคม

ในยุคของพัคนั้น ตอนแรกๆ ทีเดียวเธอแสดงท่าทีเป็นมิตรสนิทสนมกับสี โดยที่เธอเรียนภาษาจีนกลาง และกลายเป็นผู้นำจากชาติประชาธิปไตยรายสำคัญเพียงชาติเดียวเท่านั้นที่เข้าร่วมงานการสวนสนามใหญ่เฉลิมฉลองวาระครบรอบชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่ 2 ของปักกิ่ง ซึ่งจัดขึ้นในปี 2015 แต่แล้วเธอก็เปลี่ยนเส้นทางแบบปุบปับเมื่อปรากฏว่าปักกิ่งแสดงอาการเฉยเมยต่อพฤติการณ์ของเปียงยาง และเปียงยางก็เร่งเดินหน้าติดอาวุธทางยุทธศาสตร์อย่างไม่หยุดยั้ง เธอตกลงอนุญาตให้นำเอาระบบทาดของสหรัฐฯเข้ามาติดตั้งในเดือนกรกฎาคมปี 2016

นั่นคือเพียง 4 เดือนก่อนที่จะเกิดการประท้วงอย่างมโหฬารของมวลชนเกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชั่นของเธอ ซึ่งในที่สุดแล้วก็นำไปสู่การกล่าวโทษฟ้องร้องและการถอดถอนเธอ

ปักกิ่งแสดงการตอบโต้โซลที่ยินยอมให้ติดตั้งระบบทาด โดยใช้มาตรการในทางเศรษฐกิจ เป็นต้นว่าการประกาศห้ามคนจีนเดินทางมาท่องเที่ยวเกาหลีใต้ด้วยเที่ยวบินเช่าเหมาลำ ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สำคัญมากทีเดียวของตลาดการท่องเที่ยวโสมขาว และการทำให้พวกบริษัทเกาหลีใต้ในจีนต้องเสียเปรียบเสียผลประโยชน์ กรณีที่ชัดเจนที่สุดได้แก่การคว่ำบาตรกลุ่มลอตเต้ (Lotte Group) ซึ่งเป็นผู้บริจาคสนามกอล์ฟแห่งหนึ่งในเกาหลีใต้ของตนให้เป็นพื้นที่สำหรับติดตั้งประจำการระบบทาด

ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โซลกับปักกิ่งดูเหมือนสามารถเอาชนะปัญหาความยากลำบากของพวกเขาได้ ภายหลังโซลเสนอว่าตนเองจะไม่ให้นำเอาชุดระบบทาดเข้ามาติดตั้งประจำการเพิ่มเติมขึ้นอีก, จะหลีกเลี่ยงไม่เข้าร่วมระบบโล่ป้องกันขีปนาวุธของสหรัฐฯ, รวมทั้งย้ำว่าจะไม่เข้าร่วมกลุ่มพันธมิตรความมั่นคงระหว่างเกาหลีใต้-ญี่ปุ่น-สหรัฐฯอย่างเป็นทางการใดๆ ในภูมิภาคนี้

กระนั้น ปักกิ่งดูจะสงบเงียบไปบ้างเพียงนิดหน่อยเท่านั้น โดยที่ทั้งพวกเจ้าหน้าที่และสื่อมวลชนแดนมังกรยังคงพากันวิพากษ์วิจารณ์ระบบทาดกันต่อไปไม่หยุดยั้ง
กำลังโหลดความคิดเห็น