รอยเตอร์/เอเจนซีส์ - พรรคผู้ปกครองซิมบับเว ลงมติขับไล่ โรเบิร์ต มูกาเบ ออกจากตำแหน่งผู้นำของพรรคเมื่อวันอาทิตย์ (19 พ.ย.) และให้เวลาผู้เฒ่าวัย 93 ปี ผู้นี้ ไม่ถึง 24 ชั่วโมง ในการลาออกจากตำแหน่งประมุขแห่งรัฐ ไม่เช่นนั้นก็จะเจอกับการถูกกล่าวโทษถอดถอน ทั้งนี้ ถือเป็นความพยายามที่จะบังคับให้การครองอำนาจเป็นเวลา 37 ปี ของเขายุติลงอย่างสันติ ภายหลังจากฝ่ายทหารก่อรัฐประหารเข้ายึดอำนาจในทางพฤตินัยไปเรียบร้อยแล้ว
พรรคซานู-พีเอฟ (ZANU-PF) ลงมติปลดมูกาเบ ผู้นำเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ชาติในตอนใต้ของทวีปแอฟริกาแห่งนี้รู้จัก นับตั้งแต่ที่ได้รับเอกราชจากอังกฤษในปี 1980 แล้วให้ เอมเมอร์สัน เอ็มแนนแกกวา (Emmerson Mnangagwa) ขึ้นแทนที่ ทั้งนี้ เอ็มแนนแกกวา คือ รองหัวหน้าพรรคคนที่มูกาเบปลดออกจากตำแหน่งในเดือนนี้ แล้วกลายเป็นการจุดชนวนให้กองทัพยกกำลังเข้ายึดอำนาจเมื่อวันอังคาร (14) ที่ผ่านมา
ในฉากเหตุการณ์ที่เพียงเมื่อ 1 สัปดาห์ก่อน ไม่มีใครคาดคิดว่าจะสามารถเกิดขึ้นได้ เสียงประกาศมตินี้ได้รับเสียงเชียร์ดังสนั่นจากพวกผู้แทนพรรคจำนวน 200 คน ซึ่งเข้ามาประชุมกันแน่นขนัดในสำนักงานใหญ่ของพรรคซานู-พีเอฟ ที่กรุงฮาราเร เพื่อประทับตีตราชะตาชีวิตของมูกาเบ ผู้ซึ่งความสนับสนุนในตัวเขาพังถล่มทลายลงมาในเวลา 4 วันนับตั้งแต่ที่กองทัพยกกำลังเข้ายึดจุดยุทธศาสตร์ต่างๆ ในเมืองหลวง
มูกาเบมีเวลาเพียงแค่จนกระทั่งถึงตอนเที่ยง (ตรงกับ 17.00 น. เวลาเมืองไทย) ของวันจันทร์ (20) ในการลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี ไม่เช่นนั้น ก็จะถูกกล่าวโทษถอดถอน นับเป็นจุดจบแห่งอาชีพการงานอย่างน่าอัปยศอดสูของบุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็น “ชายชราผู้ยิ่งใหญ่” แห่งวงการเมืองของทวีปแอฟริกา ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยได้รับการยกย่องสรรเสริญตลอดทั่วทั้งกาฬทวีป ในฐานะที่เป็นวีรชนแห่งการปลดแอกต่อต้านจักรวรรดินิยม
แม้กระทั่งในโลกตะวันตก เขาก็มีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือในช่วงปีแรกๆ ของเขา ในฐานะที่เป็น “นักรบจรยุทธ์ของนักคิดผู้ล้ำลึก” (Thinking Man's Guerrilla) สมญานามที่กลับกลายเป็นตลกร้ายสำหรับบุรุษซึ่งในเวลาต่อมาได้ประกาศก้องอย่างภาคภูมิใจว่า เขาถือครอง “ใบปริญญาในด้านความรุนแรง”
ขณะที่เศรษฐกิจของซิมบับเวลาพังถล่มลงมา และผู้ที่คัดค้านการปกครองของเขาในทางการเมืองก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ เมื่อตอนช่วงปลายทศวรรษ 1990 มูกาเบก็ได้เผยให้เห็นธาตุแท้ของเขา ด้วยการเข้ายึดฟาร์มที่คนผิวขาวเป็นเจ้าของจำนวนพันๆ หมื่นๆ แห่ง รวมทั้งจับกุมคุมขังฝ่ายค้าน และส่งกองกำลังความมั่นคงออกมาบดขยี้ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล
ตอนที่มีการประกาศผลการลงมติของพวกผู้แทนพรรค คริส มุตสวังวา (Chris Mutsvangwa) ผู้นำของนักรบผ่านศึกสงครามปลดแอกแห่งชาติ ซึ่งเป็นหัวหอกของการรณรงค์เป็นระยะเวลา 18 เดือนเพื่อปลดบุรุษที่เขาพูดถึงอย่างเปิดเผยว่าเป็น “ผู้เผด็จการ” ได้สวมกอดเหล่าเพื่อนร่วมงาน และตะโกนว่า “ประธานาธิบดีไปแล้ว ประธานาธิบดีคนใหม่จงเจริญ”
เกรซ ภริยา วัย 52 ปี ของมูกาเบ ซึ่งมีความทะเยอทะยานอย่างแฝงเร้นที่จะสืบทอดตำแหน่งต่อจากสามีของเธอ ได้ถูกลงมติขับไล่ออกจากพรรค พร้อมกับรัฐมนตรีสำคัญๆ อีกอย่างน้อย 3 คน ผู้ซึ่งรวมตัวกันเป็นกระดูกสันหลังของกลุ่ม “จี 40” ของเธอ ภายในพรรคซานู-พีเอฟ
ก่อนการประชุมของบรรดาผู้แทนพรรคคราวนี้ มุตสวังวาได้พูดถึงมูกาเบ ซึ่งจนกระทั่งถึงบัดนี้ยังคงพยายามต้านทานเสียงเรียกร้องให้ลาออก ว่า กำลังเหลือเวลาน้อยลงทุกทีแล้วในการเจรจาต่อรองเกี่ยวกับการอำลาลงจากเวทีของเขา และควรที่จะออกจากประเทศไปเสียในขณะที่ยังคงสามารถกระทำได้
“เขากำลังพยายามต่อรองเพื่อให้ได้ก้าวลงมาอย่างสง่างาม” มุตสวังวา กล่าว
ถ้ามูกาเบยังคงปฏิเสธไม่ยอมไป “เราก็จะนำเอาฝูงชนกลับมาใหม่ และพวกเขาก็จะทำธุระของพวกเขาเอง” ผู้นำนักรบผ่านศึกผู้นี้บอกกับพวกผู้สื่อข่าว
เป็นที่คาดหมายกันว่า เอ็มแนนแกกวา อดีตหัวหน้าใหญ่ด้านความมั่นคงแห่งรัฐ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในฉายาว่า “The Crocodile” (จระเข้) จะเป็นหัวหน้าของรัฐบาลสามัคคีแห่งชาติชั่วคราวที่จะจัดตั้งขึ้นหลังจากมูกาเบออกไป โดยที่รัฐบาลใหม่นี้จะเน้นหนักเรื่องการฟื้นฟูสร้างสายสัมพันธ์กับโลกภายนอก และทำให้เศรษฐกิจที่อยู่ในอาการดำดิ่งไม่มีเบรก กลับคืนมามีเสถียรภาพ
เมื่อวันเสาร์ (18) ประชาชนจำนวนหลายแสนคนได้ทะลักทลายออกมาตามท้องถนนสายต่างๆ ของกรุงฮาราเร โดยต่างพากันร้องเพลง, เต้นระบำ และสวมกอดพวกทหาร เป็นการแสดงออกซึ่งความปีติยินดีอย่างล้นปรี่ต่อการโค่นล้มมูกาเบที่คาดหมายกันว่าจะต้องเกิดขึ้นเสร็จสิ้นในเร็ววัน
การล้มครืนลงมาอย่างน่าตื่นตะลึงของมูกาเบเช่นนี้ น่าที่จะส่งกระแสคลื่นช็อกไปตลอดทั่วทั้งแอฟริกา ที่ซึ่งพวกบุรุษเหล็กผู้ยึดกุมอำนาจเอาไว้อย่างเหนียวแน่นจำนวนหนึ่ง ตั้งแต่ โยเวรี มูเซเวนี แห่งยูกันดา ไปจนถึง โจเซฟ คาบิลา แห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก กำลังเผชิญกับแรงกดดันอันหนักหน่วงยิ่งขึ้นทุกทีให้พวกเขาอำลาจากไป