xs
xsm
sm
md
lg

“ทรัมป์” เซ็นคำสั่งแบนทุกบริษัทที่ทำธุรกิจกับโสมแดง ด้าน “ผู้นำคิม” ด่ากลับ “เสียสติ” ขู่จะแก้แค้นอย่างสาสม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เอเอฟพี - ผู้นำเกาหลีเหนือออกมาประกาศวันนี้ (22 ก.ย.) ว่าจะแก้แค้น โดนัลด์ ทรัมป์ พร้อมระบุว่าคำขู่แบบ “เสียสติ” ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยิ่งทำให้ตนมั่นใจที่จะเดินหน้าโครงการพัฒนาอาวุธต่อไป ขณะที่ ทรัมป์ จรดปากกาเซ็นคำสั่งคว่ำบาตรบีบโสมแดงหนักหน่วงยิ่งขึ้นไปอีก

มาตรการลงโทษเปียงยางชุดใหม่ถูกเปิดเผยหลังจาก ทรัมป์ ร่วมหารือกับผู้นำญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ แม้จะมีเสียงทัดทานจากจีนและรัสเซียซึ่งไม่สบายใจกับท่าทีแข็งกร้าวของสหรัฐฯ ก็ตาม

เพียง 2 วันหลังจากที่ข่มขู่กลางเวทีสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ (ยูเอ็น) ว่าจะ “ทำลายเกาหลีเหนือให้สิ้นซาก” ล่าสุด ทรัมป์ ได้เซ็นคำสั่งบริหารห้ามทุกบริษัทที่ดีลกับเกาหลีเหนือเข้ามาประกอบธุรกิจในสหรัฐอเมริกา

การบีบคั้นทางเศรษฐกิจเช่นนี้จะเปลี่ยนจุดยืนของเกาหลีเหนือได้หรือไม่คงต้องรอดูกันยาวๆ แต่เวลานี้ดูเหมือนผู้นำหนุ่มโสมแดงจะยังต้องการโชว์ให้โลกเห็นว่าเขาไม่ได้เกรงกลัวคำขู่ของทรัมป์

คิม จอง อึน มีถ้อยแถลงตอบโต้วันนี้ (22) โดยเย้ยหยัน ทรัมป์ ว่าเป็น “คนเสียสติ” พร้อมยืนยันว่าจะทำให้ผู้นำสหรัฐฯ ต้อง “ชดใช้อย่างสาสม ที่กล้าขู่ทำลายล้างประเทศของตนต่อหน้าประชาคมยูเอ็น

“ผมจะทำให้ชายซึ่งถืออำนาจสั่งการสูงสุดในสหรัฐฯ คนนี้ต้องชดใช้อย่างสาสมที่กล้าขู่ทำลายสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี” สำนักข่าว KCNA อ้างถ้อยแถลงของผู้นำเกาหลีเหนือ

คิม ซึ่งถูก ทรัมป์ ให้ฉายาว่า “มนุษย์จรวด” ยังตั้งคำถามว่า ผู้นำสหรัฐฯ รายนี้มีสติสมประกอบหรือไม่ โดยอ้างถึงการที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ “แสดงพฤติกรรมเพ้อคลั่งบนเวทียูเอ็น และขู่ทำลายรัฐเอกราชอย่างไร้จริยธรรม”

รัฐมนตรีกระทรวงสำคัญๆ ของสหรัฐฯ ได้เข้าร่วมประชุมกับ ทรัมป์ ที่นครนิวยอร์กด้วย และเตรียมที่จะนำคำสั่งของเขาไปปฏิบัติ

“สถาบันการเงินต่างชาติทุกแห่งได้รับแจ้งแล้วว่า นับจากนี้ไปพวกเขาจะต้องเลือกว่าจะทำธุรกิจกับสหรัฐฯ หรือเกาหลีเหนือ จะเลือกทั้งสองอย่างไม่ได้” สตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุ

ด้านรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เร็กซ์ ทิลเลอร์สัน ก็ได้กล่าวต่อคณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็นว่า “เกาหลีเหนืออาจคิดว่าอาวุธนิวเคลียร์จะช่วยค้ำประกันการอยู่รอดของระบอบได้ แต่อันที่จริงแล้วการมีอาวุธนิวเคลียร์กลับยิ่งทำให้พวกเขาโดดเดี่ยว อัปยศ และขาดแคลนมากขึ้น”

สหรัฐฯ ได้ลงโทษบริษัทต่างชาติที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการทางทหารของโสมแดงไปแล้วก่อนหน้านี้ แต่คำสั่งคว่ำบาตรล่าสุดจะขยายวงกว้างไปสู่ธุรกิจทุกประเภท ตั้งแต่เทคโนโลยีเรื่อยไปยันการประมง

กลุ่มที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบหนักสุดคือสถาบันการเงิน แม้แต่เครื่องบินหรือเรือที่เคยเดินทางไปเกาหลีเหนือก็จะถูกห้ามไม่ให้ลงจอดหรือเข้าเทียบท่าในสหรัฐฯ

สหภาพยุโรป (อียู) ก็ได้เตรียมมาตรการลงดาบโสมแดงเช่นกัน โดยจะห้ามบริษัทในอียูเข้าไปลงทุนในเกาหลีเหนือ และห้ามส่งออกน้ำมันจากอียูเข้าไปยังรัฐโสมแดงด้วย แหล่งข่าวการทูตในบรัสเซลส์เผย

ทรัมป์ ระบุด้วยว่า ธนาคารกลางของจีนสั่งให้สถาบันการเงินในประเทศจำกัดการทำธุรกรรมกับเกาหลีเหนือ ซึ่งถือเป็นมาตรการที่ “กล้าหาญ” และ “เหนือความคาดหมาย”

ปีเตอร์ แฮร์เรล อดีตเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ยอมรับว่าคำสั่งของ ทรัมป์ “ครอบคลุมแทบทุกด้าน” และถือว่าหนักหน่วงกว่ามติคว่ำบาตรล่าสุดของยูเอ็นที่แบนผลิตภัณฑ์สิ่งทอและแรงงานเกาหลีเหนือ

อย่างไรก็ตาม แฮร์เรล ซึ่งปัจจุบันทำงานกับศูนย์เพื่อความมั่นคงอเมริกันใหม่ (Center for a New American Security) ตั้งคำถามว่า มาตรการเช่นนี้จะปฏิบัติจริงได้มากน้อยแค่ไหน

“ถ้าบริษัทใหญ่ๆ ในจีนและรัสเซียยังทำธุรกิจกับเกาหลีเหนืออยู่ ทรัมป์ จะกล้าคว่ำบาตรพวกเขาจริงๆ หรือ”
กำลังโหลดความคิดเห็น