xs
xsm
sm
md
lg

InClip: ผู้พิพากษารัฐฮาวายสั่งด่วน!! ระงับบังคับใช้คำสั่งแบนมุสลิมรอบ 2 ของทรัมป์ ก่อนเริ่มมีผลในวันนี้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


เอเจนซีส์ - เมื่อวานนี้ (15 มี.ค.) ผู้พิพากษาศาลแขวงกลางสหรัฐฯ เดอร์ริก วัตสัน(Derrick Watson) ประจำรัฐฮาวาย ได้ออกคำสั่งระงับการบังคับใช้คำสั่งแบนมุสลิมในการเดินทางเข้าสู่สหรัฐฯ รอบ 2 ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ เกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมง ก่อนที่คำสั่งแบนนี้จะเริ่มต้นบังคับใช้อย่างเป็นทางการในวันพฤหัสบดี (16 มี.ค.)

อัลญะซีเราะห์ สื่อกาตาร์รายงานวันนี้ (16 มี.ค.) ว่า ผู้พิพากษาศาลแขวงกลางสหรัฐฯ ประจำรัฐฮาวายออกคำสั่งคุ้มครองฉุกเฉิน ระงับการบังคับใช้คำสั่งห้ามการเดินทางของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ถูกปรับปรุงใหม่รอบ 2 ก่อนหน้าไม่กี่ชั่วโมงที่จะบังคับใช้ในวันนี้ (16 มี.ค.)

ทั้งนี้ พบว่ารัฐฮาวายได้ชี้ว่าคำสั่งแบนรอบ 2 ของทรัมป์จะส่งผลกระทบต่อประชาชนชาวมุสลิมในรัฐ รวมไปถึงการท่องเที่ยว และนักเรียนต่างชาติ โดยโจทก์ผู้ยื่นฟ้อง อิสมาอิล เอลชีค ( Ismail Elshikh) ประกาศว่า คำสั่งห้ามการเดินทางรอบ 2 นี้กระทบต่อแม่ยายชาวซีเรียของเขาในการเดินทางมาเยี่ยม

และทำให้ผู้พิพากษาศาลแขวงกลางสหรัฐฯ เดอร์ริก วัตสัน (Derrick Watson) ประจำรัฐฮาวายได้กล่าวสรุปในคำสั่งของเขาว่า ในขณะที่ในตัวคำสั่งประธานาธิบดียังไม่มีการกล่าวถึง “อิสลาม” อย่างเป็นทางการ แต่ทว่า “ผู้สังเกตที่ออกมาคัดค้านอย่างมีเหตุผล ย่อมที่จะสรุปว่าเป็นคำสั่งที่ออกมาจากความมุ่งหมายจงใจไปยังภาคหนึ่งภาคใดเป็นสำคัญ”

แต่อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ได้ประกาศกับกลุ่มผู้สนับสนุนของเขาในเมืองแนชวิล (Nashville) รัฐเทนเนสซี โดยเรียกคำสั่งการห้ามเดินทางรอบ 2 ของเขานั้น “เป็นเวอร์ชันที่เจือจางแล้ว” โดยทรัมป์ประกาศว่า “ผมคิดว่าเราน่าจะกลับไปใช้เวอร์ชันแรกมากกว่า และทำไปตามนั้นเลย เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ผมต้องการจะทำแต่แรกแล้ว”

พร้อมกันนี้ ทรัมป์ยังได้กล่าวโต้ไปถึงคำสั่งคุ้มครองฉุกเฉินของผู้พิพากษารัฐฮาวายว่า เป็นการก้าวเข้ามาทางกระบวนการทางยุติธรรมที่มากเกินไป” พร้อมกันนั้นเขายังรับปากกับกลุ่มผู้สนับสนุนว่า จะทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้เพื่อให้เกิดขึ้น ซึ่งรวมไปถึง ศาลสูงสหรัฐฯ

ทั้งนี้ อัลญะซีเราะห์ชี้ว่าคดีรัฐฮาวายเป็นหนึ่งในหลายคดีที่เกิดขึ้นในวันพุธ (15 มี.ค.) ในศาลทั่วสหรัฐฯ ที่ถูกนำขึ้นฟ้องโดยสำนักอัยการหรือกลุ่มคุ้มครองสิทธิต่างๆ

เป็นต้นว่า องค์กรช่วยเหลือการตั้งถิ่นฐานของผู้อพยพได้ยื่นฟ้องรัฐบาลสหรัฐฯ ไปยังศาลกลางสหรัฐฯ ประจำรัฐแมรีแลนด์ ในคำสั่งแบนการเดินทาง โดยชี้ว่าเป็นการกีดกันโดยอาศัยพื้นฐานความแตกต่างทางศาสนา และยังเป็นการละเมิดกฎหมายรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ

สื่อกาตาร์ชี้ว่า คำสั่งทางบริหารของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ชุดรัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์ออกมาอ้างว่ามีความจำเป็นต่อความมั่นคงประเทศ ได้ประกาศห้ามการเดินทางเข้าสู่อเมริกาชั่วคราวของผู้อพยพส่วนใหญ่ รวมไปถึงผู้ที่เดินทางมาจาก 6 ชาติมุสลิม

แต่ทว่าสำนักงานอัยการสหรัฐฯ โต้ว่า คำสั่งแบนที่ออกมาใหม่ได้ปรับปรุงเพื่อตอบสนองต่อข้อเรียกร้องทางกฎหมาย รวมไปถึงการถอดชื่อชนกลุ่มน้อยทางศาสนาออกจากบรรดาประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการถูกอ้าง โดย เจฟฟรีย์ วอลล์ (Jeffrey Wall) กล่าวโต้ให้กับกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ว่า “ในคำสั่งไม่มีตรงไหนระบุถึง “ศาสนา” ซึ่งในคำสั่งไม่แสดงให้เห็นถึงความต่างทางศาสนาแม้แต่น้อย”

ด้านทีมกฎหมายประจำองค์กรสมาพันธ์สิทธิพลเมืองอเมริกัน ACLU และกลุ่มอื่นๆ ชี้ว่า แถลงการณ์ของทรัมป์บนเวทีหาเสียงเลือกตั้ง และแถลงการณ์จากบรรดาที่ปรึกษาของเขาหลังจากที่ได้เข้ารับตำแหน่งแล้วล้วนแล้วแต่ไปในทางเดียวกันว่า ***มีเป้าหมายต้องการแบนมุสลิม***

แต่ที่ปรึกษาด้านนโยบายของทรัมป์ สตีเฟน มิลเลอร์ (Stephen Miller) ชี้ว่า คำสั่งใหม่ที่ได้รับการปรับปรุงนั้นยังมีจุดมุ่งหมายทางนโยบายเช่นเดียวกันกับคำสั่งแรก แต่ใช้ครอบคลุมได้น้อยกว่า ตรงกันกับความเห็นของรัฐฮาวายและรัฐวอชิงตันที่ว่า คำสั่งใหม่นี้ไม่ต่างจากคำสั่งเดิมที่ทรัมป์ออกในครั้งแรก โดยทั้ง 2 รัฐชี้ตรงกันว่า คำสั่งห้ามการเดินทางของทรัมป์ละเมิดกฎหมายสิทธิพลเมืองสหรัฐฯ ข้อที่ 1 ในด้านที่ห้ามวอชิงตันมีความชอบหรือเกลียดชังในศาสนาใดเป็นพิเศษ

ซึ่งอัลญะซีเราะห์อธิบายว่า เนื่องมาจากคำสั่งใหม่นั้นจะถูกใช้กับวีซ่าผู้ที่ยื่นขอใหม่จากโซมาเลีย อิหร่าน ซีเรีย ซูดาน และเยเมน แต่จะไม่สามารถใช้ได้กับนักเดินทางที่ได้รับวีซ่าอนุมัติเรียบร้อยแล้ว หรือผู้ถือกรีนการ์ด ทั้งนี้อิรักที่เคยถูกใส่ชื่อในรอบแรก ถูกนำชื่อออกมาในครั้งถัดไป

สื่อกาตาร์รายงานต่อว่า และในคดีที่ถูกยื่นฟ้องในรัฐแมรีแลนด์ คำร้องยังอ้างว่าเป็นการละเมิดต่อกฎหมายรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ในการที่รัฐบาลอเมริกาจะจำกัดโควตาในการอนุญาตผู้อพยพเข้าสู่อเมริกาในปีนี้มากกว่าครึ่ง จากแต่เดิม 110,000 คนเหลือเพียง 50,000 คนเท่านั้น

โดยทางทีมกฎหมายที่ยื่นฟ้องต่างชี้ว่า หากคำสั่งปรับปรุงของทรัมป์นั้นถูกนำมาบังคับใช้จริง จะส่งผลกระทบไปถึงคนจำนวนร่วม 60,000 คนที่จะยังคงต้องติดอยู่ในกลางสมรภูมิรบโดยไม่สามารถหลบหนีไปไหนได้
อัยการรัฐฮาวาย





กำลังโหลดความคิดเห็น