เอเจนซีส์ - ผู้นำฝรั่งเศสแสดงท่าทีไม่พอใจวันนี้ (25 ก.พ.) หลังจากประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ วิจารณ์มาตรการป้องกันการก่อการร้ายของเมืองน้ำหอมว่าหละหลวม โดยอ้างว่าเพื่อนของเขาคนหนึ่งเอือมระอากับการก่อการร้ายจนรู้สึกว่า “ปารีสไม่ใช่ปารีสอีกต่อไป”
ประธานาธิบดี ฟรองซัวส์ ออลลองด์ ยังกล่าวเตือน ทรัมป์ ว่าควรจะแสดงน้ำใจกับประเทศพันธมิตรมากกว่านี้
“ทุกวันนี้มีการก่อการร้ายเกิดขึ้น และเราจะต้องร่วมกันต่อสู้ ผมคิดว่าการพูดจายั่วยุประเทศที่เป็นมิตรกับเราไม่ใช่เรื่องดีเลย ผมจะไม่มีวันทำเช่นนั้นกับสหรัฐฯ และหวังว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็คงจะไม่ทำเช่นนั้นกับฝรั่งเศส” ออลลองด์ ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนขณะไปร่วมชมงานมหกรรมสินค้าเกษตรที่กรุงปารีส
ออลลองด์ ระบุด้วยว่า ทรัมป์ เพิ่งจะบอกตนทางโทรศัพท์เมื่อไม่นานมานี้ว่าเขา “รัก” ปารีสและฝรั่งเศส
“ดังนั้น ผมก็เดาว่านั่นคือสิ่งที่เขาคิด และหากเขาคิดเช่นนั้นจริง ผมก็หวังว่าเขาจะแสดงออกมา”
“โชคดีที่ในช่วงหลายเดือนมานี้ นักท่องเที่ยวอเมริกันเดินทางมาเที่ยวฝรั่งเศสเป็นจำนวนมาก เพราะพวกเขาก็เห็นว่าเราพยายามที่จะรักษาความปลอดภัยอย่างเต็มที่”
“ผมก็ไม่อยากจะเปรียบเทียบหรอกนะ แต่ที่นี่... คนของเราไม่มีสิทธิ์เข้าถึงอาวุธปืน ที่นี่ไม่มีใครเอาปืนไปเที่ยวกราดยิงคนหมู่มาก เพียงเพื่อความสะใจที่ได้ก่อโศกนาฏกรรม”
ระหว่างกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุม Conservative Political Action Conference เมื่อวานนี้ (24) ทรัมป์ ได้วิจารณ์ชาติพันธมิตรในยุโรปว่าไม่มีมาตรการป้องกันการก่อการร้ายที่ดีพอ
“คุณลองดูสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในสวีเดน สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในเยอรมนี สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในฝรั่งเศส... เหตุการณ์ที่เมืองนีซ และปารีส”
เขายังอ้างถึงเพื่อนที่ชื่อ “จิม” ซึ่งไม่ต้องการพาครอบครัวไปเที่ยวกรุงปารีสอีกต่อไป
“ผมมีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง เขาเป็นคนมีแก่นสาร และหลงรักนครแห่งแสงสี (City of Lights) มาก”
หลังจากไม่เจอเพื่อนคนนี้มา 2-3 ปี ทรัมป์ ได้ถามเขาว่า ปารีสเป็นอย่างไรบ้าง “ซึ่งเขาก็ตอบผมว่า ปารีสเหรอ? ผมไม่ไปแล้วล่ะ ปารีสไม่ใช่ปารีสอีกต่อไปแล้ว... นั่นคือราวๆ 4-5 ปีมาแล้วนะ เขาไม่ได้ไปเที่ยวที่นั่นอีกเลย”
การก่อการร้ายที่เกิดขึ้นหลายครั้งในฝรั่งเศสตั้งแต่ต้นปี 2015 ทำให้มีผู้เสียชีวิตรวมกันกว่า 230 คน และรัฐบาลปารีสก็ได้คงภาวะฉุกเฉินมาตั้งแต่เดือน พ.ย. ปี 2015 จนกระทั่งถึงทุกวันนี้
