เอเจนซีส์ – “โอบามา” กังวลผลระยะยาวจาก “เบร็กซิต” ต่อเศรษฐกิจโลก แม้เชื่อมั่นว่า ในระยะสั้นสถาบันการคลังและการเงินโลกสามารถรับมือได้ก็ตาม ด้าน “อียู” ยื่นคำขาดกำหนดสถานะอังกฤษเป็นประเทศที่ 3 ซึ่งจะเข้าถึงตลาดเดียวของยุโรปได้ต่อเมื่อยอมรับการเคลื่อนย้ายแรงงานอย่างเสรี ขณะที่ผู้นำสเปนและฝรั่งเศสขวางสกอตแลนด์ที่ต้องการตีตัวออกจากสหราชอาณาจักรเพื่อขออยู่กับสหภาพยุโรปต่อ
ประธานาธิบดีบารัค โอบามาของสหรัฐฯ กล่าวระหว่างการประชุมสุดยอดอเมริกาเหนือร่วมกับผู้นำแคนาดาและเม็กซิโกเมื่อวันพุธ (29 มิ.ย.) ว่า ตลาด ราคาหุ้น และค่าเงินแสดงปฏิกิริยาชัดเจนนับจากที่อังกฤษลงประชามติถอนตัวจากสหภาพยุโรป (อียู) เมื่อวันพฤหัสบดี (23มิ.ย.) ที่แล้ว
ประมุขทำเนียบขาวเสริมว่า แม้การเตรียมการของธนาคารกลางและรัฐมนตรีคลังของประเทศต่างๆ ช่วยรับประกันว่า เศรษฐกิจโลกจะยังฟื้นตัวอย่างมั่นคงในระยะสั้น ทว่า ยังมีความกังวลระยะยาวอย่างแท้จริงเกี่ยวกับการเติบโตของโลก หากเบร็กซิตเกิดขึ้นจริงๆ ซึ่งจะทำให้ความเป็นไปได้ในการลงทุนในสหราชอาณาจักรหรือยุโรปโดยรวมหยุดชะงัก ในขณะที่การเติบโตของโลกอ่อนแออยู่แล้ว
โอบามาที่สนับสนุนนายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอนของอังกฤษในการต่อต้านเบร็กซิต เสริมว่า บรรดาผู้นำของกลุ่ม 20 ประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของโลก (จี20) ที่มีกำหนดพบหารือกันในปีนี้ที่จีน จะต้องร่วมกันส่งเสริมอุปสงค์ทั่วโลกและปกป้องเศรษฐกิจโลก
เขายังฝากข้อความถึงคาเมรอน, นายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคิลของเยอรมนี รวมถึงผู้นำคนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเบร็กซิตว่า ควรหยุดพักชั่วครู่และกลับมาอีกครั้งพร้อมแผนและกระบวนการที่เป็นระบบ โปร่งใส เข้าใจได้ และดำเนินการแผนและกระบวนการนั้นโดยตระหนักว่า ทุกฝ่ายมีเดิมพันสูงในการจัดการสถานการณ์นี้อย่างเหมาะสม
วันเดียวกันนั้นที่กรุงบรัสเซลส์ บรรดาผู้นำอีก 27 ชาติสมาชิกของอียู ประชุมกันโดยไม่มีตัวแทนจากอังกฤษเป็นครั้งแรกในรอบ 40 ปี และออกคำแถลงว่า สหราชอาณาจักรจะได้รับการปฏิบัติในฐานะประเทศที่สามทั้งในด้านสิทธิและหน้าที่
โดนัลด์ ทัสค์ ประธานคณะมนตรีของอียู แถลงว่า การจะเข้าถึงตลาดเดียวของอียูอันกว้างใหญ่ไพศาลที่มีประชากรถึง 500 ล้านคนนั้น อังกฤษต้องยอมรับเสรีภาพในการเคลื่อนย้ายทุน สินค้า บริการ และแรงงาน
การยื่นคำขาดของอียูเท่ากับเป็นการตบหน้าฝ่ายสนับสนุนเบร็กซิต อาทิ บอริส จอห์นสัน อดีตนายกเทศมนตรีลอนดอนและตัวเก็งผู้นำใหม่ของอังกฤษ ที่ให้สัญญาว่า สหราชอาณาจักรจะยังคงเข้าถึงตลาดอียูอย่างเต็มที่ ซึ่งรวมถึงภาคการเงิน โดยที่ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎของอียู หรืออัดฉีดงบประมาณก้อนใหญ่ให้อียูแบบที่ทำอยู่ รวมถึงสามารถจำกัดคลื่นผู้อพยพจากอียูเข้าสู่สหราชอาณาจักร
ขณะเดียวกัน เห็นชัดว่าพวกผู้นำอียูกำลังถูกกดดันจากความกังวลที่ว่า หากโอนอ่อนผ่อนปรนเงื่อนไขในการเจรจาเพื่อออกจากอียูให้อังกฤษแล้ว จะทำให้กระแสต่อต้านอียูเบ่งบานในชาติสมาชิกอื่นๆ และอาจนำไปสู่การขอถอนตัวตามรอยอังกฤษ
อย่างไรก็ตาม แม้ถูกกดดันอย่างหนักระหว่างเข้าร่วมประชุมผู้นำอียู 1 วันเมื่อวันอังคาร (28 มิ.ย.) แต่คาเมรอนยืนกรานว่า จะไม่เริ่มต้นกลไกถอนตัวตามมาตรา 50 ของสนธิสัญญาลิสบอน แต่จะส่งมอบหน้าที่นี้ให้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของอังกฤษที่จะยังไม่มีการแต่งตั้งจนกว่าจะถึงวันที่ 9 กันยายน
ทางด้านผู้นำอียูตอบโต้ว่า หากยังไม่มีการแจ้งถอนตัว ก็จะไม่มีการหารือทั้งเป็นทางการและไม่เป็นทางการในการกำหนดรูปแบบความสัมพันธ์ใหม่กับอังกฤษ
นอกจากจะต้องเผชิญศึกภายนอกแล้ว ภายในสหราชอาณาจักรเองก็ทำท่าแตกร้าว โดยในวันพุธ(29) นายกรัฐมนตรีนิโคลา สเตอร์เจียนของสกอตแลนด์ กล่าวว่า รู้สึกมั่นใจภายหลังหารือกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายคนของอียูที่บรัสเซลส์ว่า อียูจะปกป้องสถานะของสกอตแลนด์ในอียูภายหลังเบร็กซิต แต่ก็ยอมรับว่า สกอตแลนด์ยังต้องฟันฝ่าอีกมากเพื่อให้ผ่านพ้นสถานการณ์นี้ไปได้
ทั้งนี้แม้สหราชอาณาจักรโหวตด้วยคะแนน 52% ต่อ 48% เพื่อออกจากอียู แต่เฉพาะที่เขตปกครองสกอตแลนด์ กลับลงคะแนน 62% ต่อ 38% เพื่ออยู่ในอียูตามเดิม
ถึงแม้ชาวสกอตแลนด์เคยปฏิเสธการประกาศแยกตัวเป็นประเทศเอกราชในระหว่างการลงประชามติเมื่อปี 2014 แต่นับจากการโหวตออกจากอียูเมื่อวันที่ 23 มิถุนายนที่ผ่านมา เริ่มมีเสียงเรียกร้องมากขึ้นให้จัดการลงประชามติใหม่เพื่อให้สกอตแลนด์มีช่องทางในการอยู่กับอียูต่อไป
อย่างไรก็ตาม แม้ผลการลงประชามติจะออกมาว่า ชาวสกอตแลนด์ต้องการแยกตัวจากสหราชอาณาจักร แต่ก็ไม่ได้รับประกันว่า สกอตแลนด์จะได้เป็นสมาชิกอียูโดยปริยาย
มาเรียโน ราฮอย รักษาการนายกรัฐมนตรีสเปน และประธานาธิบดีฟรังซัวส์ ออลลองด์ของฝรั่งเศส ยืนกรานว่า สกอตแลนด์ไม่สามารถมีบทบาทแยกต่างหากจากสหราชอาณาจักรในการเจรจาเบร็กซิต