เอเจนซีส์ - สภาที่ปรึกษาอิสลาม CII ที่ทรงอำนาจของปากีสถานได้เสนอร่างกฎหมายครอบครัวในสัปดาห์ที่ผ่านมา อนุญาตให้สามีชาวปากีสถานสามารถ “ใช้กำลังเฆี่ยนตีภรรยาได้เล็กน้อยเพื่อลงโทษ” หากภรรยาขัดขืนไม่ยอมร่วมหลับนอนตามหน้าที่ หรือยอมสวมเสื้อผ้าตามที่ฝ่ายสามีต้องการ
NBC NEWS รายงานเมื่อวานนี้ (29 พ.ค.) ว่า สภาที่ปรึกษาอิสลาม CII หนึ่งในสถาบันภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญปากีสถานยอมรับว่าได้มีการนำเสนอร่างกฎหมายครอบครัวนี้จริง แต่ทว่าทางสภา CII ชี้ว่า ในขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างจัดทำร่างสุดท้ายจำนวน 160 หน้าก่อนที่จะส่งต่อให้กับรัฐสภาเพื่อผ่านการเห็นชอบต่อไป ซึ่งกฎหมายใหม่ที่ออกมานี้เพื่อตอบโต้กับกฎหมายปกป้องสิทธิสตรี (The Women's Protection Act) ที่ออกมาโดยจังหวัดปันจาบในเดือนกุมภาพันธ์ล่าสุด จากการรายงานของสื่ออังกฤษ เดลีเทเลกราฟ
ทั้งนี้ ปันจาบถือเป็นจังหวัดที่มีประชาชนอาศัยอยู่มากที่สุดในปากีสถาน โดยกฎหมายปกป้องสิทธิสตรีของปันจาบมีขึ้นเพื่อภูมิคุ้มกันด้านกฎหมายแก่สตรีจากภัยทำร้ายในครอบครัว ปัญหาความรุนแรงต่อจิตใจ และการทำร้ายทางเพศ เป็นต้น
สื่อสหรัฐฯ รายงานต่อว่า ในร่างกฎหมายครอบครัวฉบับใหม่ของสภา CII นอกจากที่จะกำหนดอนุญาตให้สามีสามารถโบยตีภรรยาได้หากไม่ยอมร่วมหลับนอนแล้ว ร่างกฎหมายฉบับนี้ยังอนุญาตให้สามีชาวปากีฯสามารถ “ใช้กำลังได้อย่างจำกัด” กับภรรยาที่ไม่ยอมอาบน้ำหลังเสร็จกิจจากการมีเพศสัมพันธ์ หรือปฏิเสธอาบน้ำในระหว่างการมีประจำเดือน
NBC NEWS ชี้ต่อว่า สภาที่ปรึกษาอิสลามของปากีสถาน CII ที่ไม่มีอำนาจในการออกกฎหมายได้ด้วยตัวเอง แต่สามารถให้คำแนะนำต่อรัฐบาลปากีสถาน และรัฐสภาปากีสถาน ซึ่งการให้ความเห็นของสภาการศาสนาไม่ถือเป็นข้อผูกพันทางกฎหมาย ยังได้เสนอแนวทางการทำโทษภรรยาแก่สามีชาวปากีสถานในร่างกฎหมายจำนวน 160 หน้านี้ว่า “เห็นควรให้เฆี่ยนตีภรรยาในส่วนบริเวณผิวหนังที่ไม่หนา หรือบางเกินไป”
โดยมูลานา มูฮัมหมัด ข่าน เชรานี (Maulana Muhammad Khan Sherani ) ประธานสภาที่ปรึกษา CII ได้กล่าวผ่านการแถลงข่าวในวันพฤหัสบดี(26 พ.ค)ว่า “ห้ามใช้รองเท้า หรือไม้กวาดตีบริเวณศีรษะของภรรยา หรือตีไปที่บริเวณจมูก หรือดวงตาของคู่สมรส” และเชรานียังกล่าวต่อว่า “ห้ามไม่ให้ทำให้กระดูกหัก หรือทำให้เกิดเป็นรอยแผลขึ้น รวมไปถึงยังห้ามทำให้เกิดรอยเครื่องหมายใดๆบริเวณผิวหนัง”
ประธานสภาที่ปรึกษา CII ยืนยันถึงจุดมุ่งหมายของกฎหมายครอบครัวใหม่นี้ว่า “ฝ่ายสามีไม่ควรใช้การลงโทษเพื่อระบายแค้น หรือโทสะ แต่ว่าควรจะลงโทษแต่น้อยเพื่อเป็นการเตือนความทรงจำของฝ่ายภรรยาถึงหน้าที่ทางศาสนาที่เธอจำต้องปฎิบัติตาม”
NBC NEWS รายงานอีกว่า หลังจากที่มีการเปิดเผยถึงร่างกฎหมายครอบครัวใหม่จากสภาที่ปรึกษาอิสลาม CII ออกมาแล้ว ทำให้เกิดเสียงต่อต้านไปทั่วประเทศ ซึ่งหนึ่งในนั้นคืออดีตสมาชิกสภาที่ปรึกษา CII อัลลามา ทาเฮียร์ อัชราฟี (Allama Tahir Ashrafi) ที่ก่อนหน้านี้ประกาศลาออก ได้ออกมาวิพากษ์ในเรื่องนี้ว่า “นี่ช่างไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเกิดขึ้นได้” และเขายังกล่าวต่อว่า “และอะไรกันแน่ที่เรียกว่า “การโบยตีแต่จำกัด” หรือ “ความรุนแรงที่อยู่ในข้อจำกัด” หมายถึงห้ามไม่ให้ตัดหัว แต่อนุญาตให้เผาด้วยน้ำมันอย่างนั้นหรือ”
สื่อสหรัฐฯ ชี้ว่า ในขณะนี้อัชราฟี เป็นผู้นำของกลุ่มที่มีสมาชิกจำนวน 110,000 คนของกลุ่มสภาการศาสนาแห่งปากีสถาน (Pakistani Religious Scholars Council) ที่มักวิพากษ์ศาสนาอิสลามและการสอน ซึ่งทางอัชราฟีได้ให้ความเห็นกับ NBC NEWS ว่าสภาที่ปรึกษา CII บิดเบือนคำสอนเพราะศาสนาอิสลามห้ามการใช้ความรุนแรงทุกชนิด
และอัชราฟียังกล่าวให้ความเห็นต่อว่า “สภาแห่งนี้สมควรที่ต้องพูดถึงอาชญากรรมข่มขืน อัตราการหย่าร้างที่เพิ่มสูงขึ้น และรวมไปถึงปัญหาการระเบิดฆ่าตัวตาย แต่กลับกลายว่าสภา CII หลีกเลี่ยงที่จะกล่าวถึงประเด็นปัญหาเหล่านี้”
เดลีเทเลกราฟชี้ต่อว่า อย่างไรก็ตาม สภาที่ปรึกษา CII กลับชี้โต้ต่อความจำเป็นที่ต้องมีร่างกฎหมายครอบครัวใหม่เพื่อออกมาตอบโต้กฎหมายคุมครองสตรีจังหวัดปันจาบว่า "เป็นเพราะกฎหมายสิทธิสตรีนั้นไม่มีความเป๋นอิสลาม" และยังกล่าวต่อในเรื่องนี้ว่า นอกจากที่จะอนุญาตให้ชายชาวปาสถานสามารถลงโทษภรรยาหากขัดขืนไม่ยอมหลับนอนด้วยแล้ว ทางสภา CII เห็นควรว่าทางสามีสามารถลงโทษภรรยาของตัวเองได้ หากว่าฝ่ายหญิงทำการติดต่อกับคนแปลกหน้าโดยที่ไม่ยอมสวมผ้าคลุมศรีษะญิฮาบ ส่งเสียงดังในขณะร่วมกิจกรรมที่สำคัญเป็นต้น
ในขณะเดียวกัน ด้านคณะกรรมมาธิการสิทธิมนุษยชนประจำปากีสถาน HRCP ได้ออกโรงประณามาต่อร่างกฎหมายนี้อย่างรุนแรง ซึ่งมีการเรียกร้องให้ทำการยุบสภาที่ปรึกษาอิสลาม CII แห่งปากีสถานเสีย
โดย HRCP ได้กล่าวผ่านแถลงการณ์อันเผ็ดร้อนว่า “ทางHRCP ไม่มีความต้องการที่จะขยายความในร่างกฎหมายครอบครัวใหม่ที่น่าขบขันในเรื่อง “อนุญาตให้โบยตีสตรีได้” เแต่ทางเราต้องการย้ำว่านี่ถือเป็นเรื่องจำเป็นอย่างเร่งด่วนสำหรับทุกผู้ทุกคนที่มีความชอบธรรม เห็นควรต้องตำหนิการเสนอแนวทางเช่นนี้อย่างไม่ลังเล ซึ่งทางเราเห็นว่าข้อเรียกร้องในการมีมาตรการเพื่อปกป้องสตรีเห็นสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องให้เกิดขึ้นในสังคม”



