xs
xsm
sm
md
lg

'โดนัลด์ ทรัมป์'บอก 'หยวนอ่อนค่า'จะ“ทำลาย”ความสามารถแข่งขันของสหรัฐฯ

เผยแพร่:   โดย: เอเชียอันเฮดจ์

(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)

Trump: Yuan devaluation will be ‘devastating’ to US competitiveness
By Asia Unhedged
11/08/2015

โดนัลด์ ทรัมป์ เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ชาวอเมริกัน ที่กำลังมีคะแนนนำเป็นอันดับ 1 แบบทิ้งห่าง ในบรรดาผู้ชิงชัยเพื่อเป็นตัวแทนของพรรครีพับลิกันเข้าแข่งขันคว้าตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯปี 2016 นี้ ให้สัมภาษณ์โทรทัศน์ซีเอ็นเอ็นตอนต้นสัปดาห์นี้ว่าว่า เขาไม่พอใจการที่จีนประกาศลดค่าเงินหยวนคราวล่าสุด พร้อมกับย้ำความเห็นเดิมๆ ของเขาที่ว่า ปักกิ่งใช้วิธีลดค่าเงินเพื่อแย่งความร่ำรวยและตำแหน่งงานไปจากสหรัฐฯ ถึงแม้มีข้อเท็จจริงอยู่ว่า ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา การที่จีนผูกโยงหยวนเอาไว้กับดอลลาร์อย่างเหนียวแน่น ได้ทำให้สกุลเงินตราของจีนแข็งค่าขึ้นกว่า 10% ตามหลังสกุลเงินตราของสหรัฐฯซึ่งแข็งโป๊กขึ้นมา 20%

โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่รู้สึกชื่นชอบการลดค่าเงินหยวนของจีน ไม่รู้สึกชื่นชอบแม้แต่นิดเดียว

“พวกเขากำลังทำลายเราเท่านั้นเอง” เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์อเมริกันซึ่งลงแข่งขันเพื่อเป็นผู้สมัครของพรรครีพับลิกันในการชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดี กล่าวระหว่างการให้สัมภาษณ์โทรทัศน์ ซีเอ็นเอ็น เมื่อวันอังคาร (11 ส.ค.) ที่ผ่านมา “พวกเขาจะลดค่าเงินของพวกเขาเรื่อยไปจนกว่าพวกเขาเห็นว่าเหมาะสมแล้ว พวกเขากำลังจะทำให้เงินหยวนอ่อนตัวลงไปมหึมาทีเดียว และนั่นก็จะสร้างความหายนะให้แก่เรา”

ทรัมป์แสดงความเห็นเช่นนี้หลังจากจีนประกาศลดค่าเงินของตนลงมาเกือบ 2% ในช่วงก่อนเช้ามืดวันอังคาร (หมายเหตุผู้แปล – ทางการจีนประกาศลดค่าเงินหยวนตอนเช้าวันอังคาร ตามเวลามาตรฐานของจีน จึงเป็นช่วงก่อนเช้ามืดสำหรับเวลาในสหรัฐฯ ยิ่งกว่านั้นในอีก 2 วันต่อมา คือ วันพุธที่ 12 ส.ค. และวันพฤหัสบดีที่ 13 ส.ค.จีนยังประกาศ “ค่ากลาง” ประจำวัน สำหรับอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินหยวนกับเงินดอลลาร์ของตน ต่ำลงมาอีก 1.6% และ 1.1% ตามลำดับ กระทั่งถึงวันศุกร์ที่ 14 ส.ค. “ค่ากลาง” ประจำวันของทางการปักกิ่งจึงเกิดการยูเทิร์น โดยกลับแข็งค่าขึ้นกว่าวันก่อน 0.05%) ถือเป็นการอ่อนวูบครั้งใหญ่ที่สุดของค่าเงินหยวนนับตั้งแต่ปี 1994 เป็นต้นมา และบังเกิดขึ้นในขณะที่ตัวเลขข้อมูลทางเศรษฐกิจด้านต่างๆ ของแดนมังกรล้วนอยู่ในอาการย่ำแย่

“เรามีอำนาจเหนือจีนมากมายเลยนะ” ทรัมป์ บอกกับซีเอ็นเอ็น “จีนมั่งคั่งร่ำรวยขึ้นมาก็เพราะเอามาจากเรานี่แหละ จีนสร้างตัวเองขึ้นมาใหม่ได้ก็ด้วยเงินทองที่เขาสูบเอามาจากสหรัฐฯ และด้วยตำแหน่งงานที่เขาสูบเอามาจากสหรัฐฯ”

อภิมหาเศรษฐีนักธุรกิจชาวอเมริกันผู้นี้ เป็นผู้ที่คอยตามวิพากษ์วิจารณ์นโยบายด้านเงินตราของจีนมานมนานแล้ว และกำลังใช้เรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งของรากฐานในหลักนโยบายของเขา ซึ่งจวบจนถึงเวลานี้ยังถูกตำหนิว่าค่อนข้างกระจัดกระจายไร้ความชัดเจน

จีนเป็นเหตุผลสำคัญประการหนึ่งที่ ทรัมป์ หยิบยกขึ้นมากล่าวอ้างว่าทำให้เขาตัดสินใจกระโจนลงชิงชัยในการเลือกตั้งประธานาธิบดีคราวนี้ ซึ่งกำลังอยู่ในกระบวนการของการคัดเลือกผู้สมัคร โดยที่วันเลือกตั้งจริงๆ กำหนดจัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายนปี 2016

ทรัมป์ ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักกันมากที่สุดเนื่องจากเป็นดาราของรายการเรียลลิตี้ทีวี ได้กล่าวเมื่อตอนเปิดตัวเริ่มการรณรงค์หาเสียงของเขาในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยตั้งคำถามว่า “ครั้งสุดท้ายที่คุณได้ยินคนพูดว่า 'จีนกำลังเข่นฆ่าเรา' นะ มันนานแค่ไหนแล้ว? พวกเขากำลังลดค่าเงินของพวกเขาลงสู่ระดับที่คุณต้องไม่เชื่อว่าพวกบริษัทของเราจะสามารถแข่งขันกับเขาได้ มันเป็นไปไม่ได้เลย พวกเขากำลังเข่นฆ่าเรา แต่คุณจะไม่ได้ยินใครคนอื่นหน้าไหนกล้าพูดถึงเรื่องนี้หรอก”

ในการปราศรัยเปิดตัวคราวนั้น เขายังให้สัญญิงสัญญาว่าจะช่วยเหลือเศรษฐกิจสหรัฐฯ ด้วยการเป็นผู้เจรจาต่อรองที่หนักแน่นแข็งกร้าวยิ่งขึ้น ในเวลาทำการเจรจาต่อรองกับจีน

“พวกเขากำลังฉีกเราออกเป็นชิ้นๆ ส่วนเรากลับต้องกลายเป็นคนที่กำลังสร้างจีนขึ้นมาใหม่ เรากลับต้องกลายเป็นคนที่สร้างประเทศจำนวนมากขึ้นมาใหม่” เขากล่าวเช่นนี้ในคำปราศรัยเปิดตัว “ประเทศจีน เขาได้ของพวกนี้ไปแล้วในตอนนี้ ไม่ว่า ถนน, สะพาน, โรงเรียน คุณต้องไม่เคยเห็นอะไรขนาดนี้มาก่อนเลยอย่างแน่นอน พวกเขาน่ะมีสะพานที่ทำให้สะพานจอร์จ วอชิงตัน (George Washington Bridge) ดูเหมือนกับเป็นแค่มันฝรั่งหัวเล็กๆ ไปเลย ... คุณมีปัญหากับพวก ISIS ใช่ไหม แต่คุณมีปัญหาใหญ่โตกว่านั้นอีกนะ กับประเทศจีน”

สิ่งที่ทรัมป์พูดก็อาจจะมีประเด็นน่าพิจารณาอยู่เหมือนกัน การลดค่าเงินหยวนของจีนนั้นไม่ใช่เรื่องดีสำหรับสหรัฐฯหรอก ในรอบระยะเวลาประมาณ 1 ปีที่ผ่านมา เงินดอลลาร์ได้แข็งค่าขึ้นมาแล้วราว 20% เมื่อคำนวณถ่วงน้ำหนักโดยอิงพื้นฐานทางด้านการค้า สภาวการณ์เช่นนี้ส่งผลร้ายต่ออัตราเติบโตขยายตัวทางเศรษฐกิจและต่อผลกำไรของพวกบริษัทธุรกิจ เนื่องจากทำให้สินค้าออกของสหรัฐฯมีราคาแพงขึ้น

ในเวลาเดียวกันนี้เอง จีนได้ผูกเงินหยวนเอาไว้อย่างแน่นหนากับเงินดอลลาร์ ขณะที่เศรษฐกิจแดนมังกรชะลอตัวลงและยอดการส่งออกก็ทรุดต่ำตลอดเวลา 1 ปีที่ผ่านมานั้น แท้ที่จริงแล้วสกุลเงินตราของจีนได้แข็งค่าขึ้นมากกว่า 10% มันไม่ค่อยเป็นการเตรียมตัวอันเหมาะสมเอาเสียเลยสำหรับการรับมือกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว

พวกผู้รู้หลายรายอ้างว่า การลดค่าเงินแบบสุดเซอร์ไพรซ์ของจีนคราวนี้ จะเป็นการจุดชนวนให้เกิดการลดค่าเงินของชาติต่างๆ ติดตามมาทั่วโลก หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็ต้องบอกว่ามันเป็นปัญหาโลกแตกแบบไก่เกิดก่อนไข่ หรือไข่เกิดก่อนไก่ เพราะก่อนที่จีนจะขยับลดค่าเงินหยวนคราวนี้ ทั้งธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่น (Bank of Japan) และธนาคารกลางยุโรป (European Central Bank) ต่างก็ได้ใช้มาตรการจำพวกผ่อนคลายเชิงปริมาณ (quantitative easings หรือ QE) ซึ่งส่งผลทำให้เงินเยนและเงินยูโรอ่อนค่าลงมาตามลำดับไปแล้วทั้งนั้น

ตลอดระยะเวลาหลายๆ ปีที่ผ่านมา พวกนักการเมือง รวมทั้งตัวทรัมป์เองด้วย ได้เคยกล่าวเรียกร้องว่าจีนจะต้องปล่อยเงินหยวนลอยตัวเพื่อให้แสดงมูลค่าที่แท้จริงของมันออกมา โดยในเวลานั้น มองเห็นกันว่าเงินหยวนควรที่จะต้องแข็งค่าขึ้นไปเมื่อเทียบกับดอลลาร์ และดังนั้นก็จะเป็นการช่วยเหลือให้สินค้าออกของสหรัฐฯเข้าสู่ตลาดจีนได้มากยิ่งขึ้น แต่แล้วนักการเมืองเหล่านี้ต่างกำลังแสดงความไม่พอใจเมื่อจีนปล่อยค่าเงินลอยตัวจริงๆ แล้วหยวนไม่ได้แข็งขึ้น ทว่ากลับอ่อนตัวลง พวกเขายังคงระบุว่ามันเป็นอันตรายต่อความสามารถในการแข่งขันกับทั่วโลกของสหรัฐฯ

เรื่องจึงกลายเป็นว่า คุณจะต้องระมัดระวังให้มากไว้ และต้องรอบคอบคิดให้ดีว่าคุณกำลังเรียกร้องต้องการอะไรกันแน่ ในเมื่อจีนตัดสินใจปล่อยค่าเงินลอยตัว แต่แล้วก็กลับเกิดความเสี่ยงที่จะมีความขัดแย้งทางการค้ากับสหรัฐฯขึ้นมาใหม่อีก

มองกันในด้านการเงิน ผลกระทบทางอ้อมที่ใหญ่โตที่สุดจากการลดค่าเงินหยวนคราวนี้ อาจจะอยู่ที่ว่า มันจะกลายเป็นการสร้างแรงกดดันต่อธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จนการประกาศเริ่มขยับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามที่ได้มีการเกริ่นกันมานาน อาจต้องชะลอออกไปอีก

(จากคอลัมน์ Asia Unhedged ในเอเชียไทมส์)
กำลังโหลดความคิดเห็น