ไลบีเรียร้องขอเลือดคนหายป่วยช่วยเหยื่ออีโบลา-กินีรวบผู้ต้องสงสัยฆ่าโหดคณะแพทย์

รอยเตอร์/เอเอฟพี - หัวหน้าศูนย์รักษาผู้ป่วยในไลบีเรีย ชาติแอฟริกาตะวันตกที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของอีโบลาหนักหน่วงที่สุด ร้องขอผู้ที่ฟื้นไข้จากไวรัสมรณะนี้ ให้ช่วยบริจาคเลือดเพื่อใช้สำหรับรักษาผู้ติดเชื้อคนอื่นๆ ในขณะที่ตำรวจกินี รวบตัวผู้ต้องสงสัยสังหารคณะผู้เชี่ยวชาญที่ถูกฆ่าระหว่างลงพื้นที่ให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับอีโบลาได้แล้ว

โรคระบาดนี้คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วกว่า 2,800 ศพ มากกว่าการแพร่ระบาดของอีโบลาคราวก่อนๆรวมกัน โดยเหยื่อส่วนใหญ่พบในกินี ไลบีเรีย และเซียร์ราลีโอน ประเทศที่ระบบสาธารณสุขอ่อนแออยู่ก่อนแล้ว “เราต้องการให้ผู้รอดชีวิตมาที่นี่และมาช่วยเราผ่านการบริจาคเลือด” อัตไต โอโมรูโต นายแพทย์ผู้รับผิดชอบศูนย์รักษาผู้ป่วยอีโบลา 150 เตียงที่เพิ่งเปิดใหม่ในกรุงมันโรเวีย เมืองหลวงของไลบีเรีย

ผลการศึกษาบ่งชี้ว่า การถ่ายเลือดจากผู้ติดเชื้ออีโบลา อาจช่วยป้องกันหรือรักษาผู้ติดเชื้อรายอื่นๆ ขณะที่องค์กรอนามัยโลก (WHO) เผยเมื่อช่วงต้นเดือนว่าวิธีบำบัดด้วยเลือดและเซรุ่มระยะฟื้นโรคของผู้รอดชีวิตจากอีโบลา อาจช่วยรักษาผู้ติดเชื้อคนอื่นๆ ขณะที่วัคซีนป้องกันยังอยู่ในขั้นทดลองความปลอดภัย

วิลเลียม พูลีย์ ชายชาวอังกฤษผู้รอดชีวิตจากอีโบลาหลังได้รับการรักษาในลอนดอน บินไปยังสหรัฐฯ เมื่อช่วงกลางเดือดน เพื่อบริจาคเลือดช่วยผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสมรณะอีกคน “เลือดผู้รอดชีวิตมีภูมิคุ้มกันที่สามารถต่อสู้กับไวรัสอีโบลา เมื่อเราให้เลือดใหม่แก่คนไข้ มันจะช่วยซ่อมแซมเส้นเลือด ที่จะช่วยสกัดไม่ให้เลือดไหล”

ในขณะที่การแพร่ระบาดของอีโบลาในแอฟริกาตะวันตกแผ่ลามเป็นทวีคูณ ชาวบ้านในประเทศต่างๆที่ได้รับผลกระทบต่อเริ่มตะเกียกตะกายแสวงหาความช่วยเหลือ จนมีข่าวลือเกี่ยวกับการซื้อขายเลือดของผู้รอดชีวิตจากอีโบลาในตลาดมืดปรากฏขึ้นมา

ท่ามกลางความกังวลว่าโรคระบาดนี้อาจลุกลามเลยออกจากแอฟริกาตะวันตก เวลานี้ความช่วยเหลือและเครื่องไม้เครื่องมือกำลังหลั่งไหลเข้าไปยังภูมิภาคแห่งนี้ โดยสหรัฐฯประจำการบุคลากรทางทหาร 3,000 นาย ส่วนใหญ่ในไลบีเรีย และสหประชาชาติก็ได้จัดตั้งคณะทำงานพิเศษ ที่เรียกว่า “UNMEER” เพื่อต่อสู้กับอีโบลาโดยเฉพาะ ส่วนเอกอัครราชทูตจีนประจำไลบีเรียเมื่อวันพุธ (24 ก.ย.) บอกว่าประเทศของเขาจะสนับสนุนด้านการเงินอีก 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

เมื่อวันอังคาร (23 ก.ย.) ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ (ซีดีซี) คาดหมายว่าจำนวนผู้ติดเชื้ออาจเพิ่มเป็นอย่างน้อย 1.4 ล้านคนภายในช่วงกลางเดือนมกราคมปีหน้าหรือต่ำกว่านั้น หากทุกฝ่ายไม่เพิ่มความพยายามควบคุมการระบาดของโรค

ซีดีซีคาดว่า จำนวนผู้ติดเชื้อที่แท้จริงเฉพาะในไลบีเรีย และเซียร์ราลีโอนอาจพุ่งถึง 21,000 คนภายในวันที่ 30 กันยายนนี้ และในกรณีที่แย่ที่สุดจำนวนผู้ป่วยในประเทศเหล่านี้อาจเพิ่มขึ้นวันละหลายพันคน เป็น 1.4 ล้านคนภายในวันที่ 20 มกราคมปีหน้า

ด้วยวิกฤตกำลังเลวร้ายลงเรื่อยๆ เซียร์ราลีโอน กลายเป็นชาติที่ใช้มาตรการตอบสนองหนักหน่วงที่สุด ด้วยกำหนดเคอร์ฟิวปิดประเทศเป็นเวลา 3 วันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เปิดทางอาสาสมัครเข้าให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับไวรัสมรณะแก่ชาวบ้าน รวมถึงหาตัวผู้ติดเชื้อใหม่รวมถึงศพผู้เสียชีวิตด้วย จากนั้นในวันอังคาร (23 ก.ย.) พวกเขาก็สั่งปิดชายแดนที่ติดกับกินีและไลบีเรีย

ขณะเดียวกัน กินียังคงแสวงหาหนทางเอาชนะการไม่ยอมรับ ความสงสัยและท่าทีที่เป็นปกปักษ์ของชาวบ้านท้องถิ่นต่อเจ้าหน้าที่สาธารณสุข โดยในเมืองโฟเรคาริอาห์ ห่างจากกรุงโกนากรี ราว 100 กิโลเมตร พลเมืองพากันเล่นงานและปล้นสะดมสำนักงานท้องถิ่นของกระทรวงสาธารณสุข หลังจากไม่พอใจที่คณะแพทย์นำศพเหยื่ออีโบลา 3 รายที่มาจากครอบครัวเดียวกันไปฝัง

เหตุการณ์นี้มีขึ้นเพียง 1 สัปดาห์หลังจากสมาชิก 8 คนของคณะผู้เชี่ยวชาญซึ่งลงพื้นที่ไปให้การศึกษาเกี่ยวกับไวรัสอีโบลาแก่ประชาชน ถูกฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยมในพื้นที่ห่างไกลทางตะวันออกเฉียงใต้ของกินีเมื่อช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ในวันพุธ (24 ก.ย.) รัฐบาลเปิดเผยว่าตำรวจสามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยได้แล้ว 27 คน ที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังหารเหยื่อ 8 รายซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขท้องถิ่นและผู้สื่อข่าว หลังจากทั้งหมดหายไปตัว ระหว่างที่ทีมคณะผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดหลายสิบคนถูกชาวบ้านเล่นงานขณะเยือนพื้นที่เมืองโวมีย์ เมื่อวันที่ 16 กันยายน โดยที่ศพทั้ง 8 นั้นถูกพบในถังปุ๋ยหมักของโรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง ในอีก 2 วันต่อมา

“ส่วนใหญ่ของพวกที่ก่ออาชญากรรมนี้อยู่ภายใต้การควบคุมตัวแล้ว โดยมีทั้งหมด 27 คน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมแถลงที่เมืองหลวง พร้อมเผยว่าอัยการได้สอบปากคำผู้ต้องสงสัยที่ถูกควบคุมตัวในเมืองเอ็นเซเรโกเร ทางใต้ของประเทศ “รัฐบาลต้องการเห็นเรื่องนี้ลงเอย ผมสัญญาว่าวคามยุติธรรมจะบังเกิด และพวกคนผิดต้องชดใช้ราคาแพงต่อโศกนาฏกรรมที่โหดร้ายนี้”