เอเอฟพี-หญิงชาวอิรักระบุ ชีวิตความเป็นอยู่ขณะนี้เลวร้ายมากกว่าช่วงที่อยู่ภายใต้รัฐบาลเผด็จการของซัดดัม ฮุซเซน และสภาพเลวร้ายนั้นยิ่งเสื่อมลงทุกๆ ปีนับตั้งแต่การบุกอิรัก ซึ่งสหรัฐฯเป็นผู้นำ ในเดือนมีนาคม ปี 2003
นาง ชาเมอรัน มารูกี ผู้นำคณะกรรมการเอ็นจีโอเพื่อหญิงชาวอิรัก กล่าวว่า ปัจจุบันนี้พวกเธอไม่ได้ต้องการแค่สิทธิเท่าเทียมกัน แต่ต้องการ “สิทธิในการดำรงชีวิต”
“สิทธิในการดำรงชีวิต เป็นสโลแกนที่เราเริ่มใช้เนื่องจากชีวิตของผู้หญิงในอิรักกำลังถูกคุกคามในทุกๆด้าน กฎหมายไม่ได้ถูกปฏิบัติอย่างเท่าเทียม และสังคมก็ละเลยต่อผู้หญิง” นางมารูกีกล่าว
เธอชี้ว่า “ก่อนการรุกรานในปี 2003 ยังเป็นเรื่องที่เป็นไปได้สำหรับผู้หญิงที่จะใช้ชีวิตอย่างปกติตราบที่เธอปฏิบัติตามนโยบายของรัฐ และยังเป็นไปได้ด้วยที่ผู้หญิงจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางการเมืองและเศรษฐกิจผ่านหน่วยงานสหภาพหญิงอิรักอย่างเป็นทางการ”
ทว่า เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองใน ปี 2003 หญิง ชาย และเด็กๆ ต่างออกไปที่ถนนเพื่อเฉลิมฉลอง พวกเขามีความสุขกันมาก แต่โชคร้ายที่ไม่มีผู้นำที่เหมาะสมต่อสถานการณ์และสังคมที่จะสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงต่างๆได้
ในเวลาต่อมา สหภาพหญิงอิรักถูกล้มไปหลังการเข้ามาของสหรัฐฯ เพราะได้ไปเข้าร่วมกับพรรคบาธของซัดดัม ซึ่งมารูกีเล่าว่า ใน2-3 ปีที่ผ่านมานี้ ความรุนแรงต่อผู้หญิงนั้นเพิ่มขึ้นอย่างหนัก
มารูกี นักรณรงค์ด้านสิทธิมนุษยชนกล่าวว่า “ที่บ้าน ผู้หญิงต้องพบกับความรุนแรงจากพ่อของเธอ สามี พี่ชาย น้องชาย และกระทั่งลูกของเธอเอง มันกลายเป็นวัฒนธรรมใหม่ในสังคมนี้”
ขณะที่นอกบ้านนั้น ผู้หญิงมักถูกล่วงละเมิดทางวาจาตามท้องถนน ถ้าพวกเธอไม่ใส่ฮิยาบ (ผ้าคลุมผมหญิงอิสลาม) รวมทั้งการเผชิญสถานการณ์เลวร้ายสุดขีด โดยถูกกลุ่มติดอาวุธลักพาตัว ไปข่มขืนแล้วฆ่าทิ้ง
มารูกีเสริมว่า “มันกลายเป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้หญิงต้องถูกขู่ฆ่า เมื่อทำงานเป็นพวกช่างทำผม หรือช่างตัดเสื้อชาย หากไม่ใส่ฮียาบ หรือแต่งชุดที่ไม่เหมาะสม ดังนั้น นอกจากสิทธิเท่าเทียมแล้ว พวกเธอยังเรียกร้องสิทธิในการดำรงชีวิตด้วย
ถึงแม้จะไม่มีตัวเลขทั่วโลกอย่างเป็นทางการ แต่นักกิจกรรมด้านสิทธิมนุษยชนหลายคนรายงานว่าคดีที่เรียกว่า “การฆ่าเพื่อศักดิ์ศรี” มีเป็นจำนวนมาก ในเมืองบาซาร์ที่อยู่ทางใต้ ในเขตชาวเคิร์ด ทางตอนเหนือ และในกรุงแบกแดด
รายงานของสหประชาชาติ ระบุว่าในปี 2007 ตำรวจในเมืองบาซาร์รับเรื่องร้องเรียน 44 คดี ที่ผู้หญิงถูกฆ่าโดยมีบาดแผลจากอาวุธปืนหลายแห่ง หลังจากถูกกล่าวหาว่าก่อ “อาชญากรรมเพื่อศักดิ์ศรี” รายงานยังกล่าวถึง ครูผู้หญิงหลายคนถูกชายติดอาวุธยิงตาย โดยบางคนถูกยิงต่อหน้านักเรียนของพวกเธอ ในกรุงแบกแดด
ไม่เพียงเท่านี้ รายงานขององค์กรผู้หญิงเพื่อผู้หญิงระหว่างประเทศที่ตั้งอยู่ในสหรัฐฯ ได้เผยแพร่เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาว่า สภาพของหญิงในประเทศอิรักกลายเป็น “วิกฤตระดับชาติ” นับแต่การบุก ซึ่งสหรัฐฯเป็นผู้นำในเดือนมีนาคม ปี 2003
อิรักในวันนี้ได้รับความเสียหายจากความไม่มั่นคง ขาดโครงสร้างพื้นฐาน และมีผู้นำที่ยังขัดแย้งกัน ทั้งยังเปลี่ยนฐานะผู้หญิงจากความเป็นอิสระและความมั่นคงในเครือญาติไปสู่ภาระวิกฤตแห่งชาติ
จากการสำรวจความคิดเห็นพบว่า 64 % ของผู้หญิงมองว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับพวกเธอนั้นเพิ่มขึ้น
รายงานอ้างว่า “เมื่อถูกถาม ผู้ร่วมตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มักบอกว่าความเคารพในสิทธิของผู้หญิงนั้นน้อยลงกว่าแต่ก่อนก็เพราะผู้หญิงถูกมองว่าเป็นเสมือนทรัพย์สิน และเพราะเศรษฐกิจที่เลวร้ายยิ่งขึ้น” รายงานยังพบด้วยว่า 76 เปอร์เซ็นต์ของผู้หญิงที่ให้สัมภาษณ์กล่าวว่า เด็กหญิงในหลายครอบครัวถูกห้ามไม่ให้ไปโรงเรียน
เซลมา ยาบู ที่ปรึกษาด้านกิจสตรีของประธานาธิบดี ญาลาล ตอลาบานีของอิรัก กล่าวว่า นอกจากผู้หญิงอิรักจะถูกกีดกันทางการเมืองแล้ว ยังถูกกระทำละเมิด และข่มขู่ตามถนน รวมทั้งเผชิญกับการล่วงละเมิดทางเพศ
ยาบู กล่าวว่า “มีความรุนแรงโดยผู้ก่อการร้าย รวมทั้งการระเบิดโจมตีประชาชนอิรักทั่วไปตามท้องถนน แต่ยังมีความรุนแรงเฉพาะต่อผู้หญิงอีก โดยถูกลักพาตัวไปข่มขืน และกระทำด้วยอาชญากรรมอื่นๆ อีกมาก”
ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญของอิรักปกป้อง และสนับสนุนผู้หญิงในบางประเด็น แต่ยังมีประเด็นอื่นๆ ที่ไม่ได้รับการยอมรับ เราจึงต้องพยายามเต็มที่ เพื่อใส่ประเด็นเหล่านั้นไว้ในรัฐธรรมนูญ
นางอิกบาล อาลิ ในวัย 40 ปี บอกว่า เธอเคยถูกขู่ฆ่าให้ปิดร้านทำผมในย่านการาดา ใจกลางของกรุงแบกแดด
“เริ่มแรกทุกสิ่งกำลังจะไปได้สวย แต่ต่อมา สถานการณ์ในประเทศกลับแย่ลง ช่างทำผมหญิงหลายคนเริ่มถูกข่มขู่ งานของฉันก็ได้รับผลกระทบจนฉันต้องปิดร้านทำผม”
ปัจจุบันเธอเปิดร้านขายเครื่องสำอาง และน้ำหอม ซึ่งเธอตั้งชื่อว่า อัลวาร์ดา อัลไบดา (กุหลาบขาว) เธอเสริมว่า “ฉันตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากทางการเงิน ที่ไม่มีการผ่อนผันใดๆ ไม่มีผู้ช่วยเหลือจากรัฐบาล ฉันตกงาน ดังนั้น ฉันจึงตัดสินใจขอยืมเงิน และเปิดร้านนี้
ขณะที่ ซูอัด โมฮัมเหม็ด ลูกจ้างเทศบาลในเมืองอัดฮามิยาห์ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงแบกแดด พกปืนไว้ในกระเป๋าถือ โดยกล่าวว่า “การเป็นหญิงชาวอิรัก ฉันไม่คิดว่าเป็นการปลอดภัยที่จะออกไปนอกบ้านได้อย่างอิสระ ดังนั้น ไม่ว่าเมื่อไรที่ฉันจะออกไปข้างนอก ฉันมักพกอาวุธไว้ด้วยเพื่อป้องกันตัว”
เธอบอกว่าปีที่แล้วเธอไปธนาคารเพื่อรับเงินเดือนให้หญิงชราที่ไม่สามารถไปเองได้ แต่ขากลับคนขับรถแท็กซี่เลี้ยวรถออกนอกเส้นทาง และตรงไปยังเมืองซาดร์ ย่านของชาวชีอะห์
“เขาไม่ยอมจอดและฉันก็เริ่มกรีดร้อง ต่อมาฉันนึกได้ว่ามีอาวุธ ฉันจึงตัดสินใจป้องกันตัวเอง สิ่งเดียวที่ฉันคิดคือเงินเดือนของหญิงชรา ฉันหยิบอาวุธออกมาจากกระเป๋าเงินและยิงเขาที่คอและมือ เขาเลือดออกแต่ยังไม่หยุดรถ ในที่สุดแท็กซี่ก็หยุดเมื่อผ่านที่คุ้มกันของกองทัพ และคนขับก็หนีออกไป”
นับแต่นั้น โมฮัมเหม็ดบอกว่า “ทุกครั้งเมื่อฉันจะออกจากชุมชนแถวบ้าน ต้องแน่ใจว่าพกอาวุธมาด้วย”



